ชื่อภาพยนตร์ FIRST MAN
ชื่อไทย มนุษย์คนแรกบนดวงจันทร์
วันที่เข้าฉาย 18 ตุลาคม 2561
จัดจำหน่าย บริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส (ฟาร์อีสต์) จำกัด
ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส ภูมิใจเสนอ
FIRST MAN มนุษย์คนแรกบนดวงจันทร์
ผลงานความร่วมมือกับ ดรีมเวิร์กส์ พิคเจอร์ส และเพอร์เฟ็กต์ เวิลด์ พิคเจอร์ส
ผลงานการสร้างของ เทมเปิล ฮิลล์
ภาพยนตร์ของ เดเมี่ยน ชาเซลล์
ไรอัน กอสลิง, แคลร์ ฟอย, เจสัน คล๊าร์ก, ไคล แชนด์เลอร์, คอรี่ย์ สโตลล์, แพทริค ฟูจิท, คริสโตเฟอร์ แอ็บบ็อตต์, เซียแรน ไฮนด์ส, โอลิเวีย แฮมิลตัน, ปาโบล ชไรเบอร์, เชีย วิแกม, ลูคัส ฮาส, อีธาน เอ็มบรี่ย์, ไบรอัน ดาร์ซี่ เจมส์, คอรี่ ไมเคิล สมิธ, คริส สแวนเบิร์ก
CLAIRE FOY, JASON CLARKE, KYLE CHANDLER, COREY STOLL, PATRICK FUGIT, CHRISTOPHER ABBOTT, CIARÁN HINDS, OLIVIA HAMILTON, PABLO SCHREIBER, SHEA WHIGHAM, LUKAS HAAS, ETHAN EMBRY, BRIAN D’ARCY JAMES, CORY MICHAEL SMITH, KRIS SWANBERG
First Man | Official Trailer | Thai Sub | UIP Thailand
ผู้อำนวยการสร้างบริหาร
สตีเว่น สปีลเบิร์ก, อดัม เมอริมส์ , จอช ซิงเกอร์
อำนวยการสร้างโดย
วิค ก็อดฟรีย์, p.g.a., มาร์ตี้ โบเว่น, p.g.a. , ไอแซ็ค เคล้าสเนอร์, เดเมี่ยน ชาเซลล์
สร้างจากหนังสือของ เจมส์ อาร์ แฮนเซ่น
เขียนบทภาพยนตร์โดย จอช ซิงเกอร์
กำกับโดย เดเมี่ยน ชาเซลล์
ข้อมูลเบื้องหลังงานสร้าง
หลังความสำเร็จอย่างท่วมท้นของภาพยนตร์หกรางวัลออสการ์ เรื่อง La La Land ผู้กำกับรางวัลออสการ์ เดเมี่ยน ชาเซลล์ และดารานำ ไรอัน กอสลิง ได้กลับมาร่วมทีมกันอีกครั้งในผลงานภาพยนตร์ของ ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส เรื่อง First Man เรื่องราวอันน่าประทับใจเบื้องหลังภารกิจก้าวสู่ดวงจันทร์ครั้งแรกของมนุษย์ โดยเน้นเรื่องไปที่ตัว นีล อาร์มสตรอง และช่วงทศวรรษที่นำไปสู่การเดินทางของอะพอลโล่ 11 ที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ เป็นเรื่องราวส่วนตัวที่บอกเล่าจากมุมมองของอาร์มสตรอง โดยอิงจากหนังสือของ เจมส์ อาร์ แฮนเซ่น ภาพยนตร์เรื่องนี้นำเสนอทั้งชัยชนะและสิ่งที่ต้องเสียไป ทั้งต่อตัวอาร์มสตรอง ครอบครัวของเขา เพื่อนๆ และประเทศชาติ ในหนึ่งในภารกิจที่อันตรายที่สุดในประวัติศาสตร์
ความสนใจของชาเซลล์และเรื่องราวที่เขาบอกเล่า ยังคงมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่ต้องเสียไปเพื่อให้ได้มาซึ่งความสำเร็จ ไม่ว่ามันจะคุ้มค่าหรือไม่สำหรับคนที่ก้าวไปถึงจุดนั้น เฉกเช่นเดียวกับที่เขาเคยจินตนาการถึงความมีวินัยของการทำหน้าที่ที่ปรึกษา บนเส้นทางไปสู่ความเป็นสุดยอดฝีมือใน Whiplash และการวางโครงสร้างใหม่ให้กับภาพยนตร์เพลงใน La La Land บัดนี้ ชาเซลล์ขอท้าทายความคาดหวังที่มีต่อ “ภาพยนตร์ที่นำเสนอเรื่องราวภารกิจ” ชาเซลล์ซึ่งค้นพบเรื่อง First Man พร้อมกับผู้ร่วมงานของเขา นำเสนอภาพยนตร์เรื่องนี้จากมุมมองของคนวงใน เพื่อพาผู้ชมดำดิ่งสู่การเดินทางที่ไม่น่าเป็นไปได้ครั้งนี้
ผู้ที่มารับบทเป็น เจเน็ท อาร์มสตรอง ฮีโร่หญิงที่ไม่เคยแสดงตัวเพื่อความโด่งดัง ผู้เป็นภรรยาของนีล และเป็นผู้หญิงที่ช่วยทำให้ช่วงเวลาเหล่านี้กลายเป็นช่วงเวลาอันแสนยิ่งใหญ่ ก็คือ แคลร์ ฟอย (ผลงานทาง Netflix เรื่อง The Crown) ถึงแม้ว่าเธอเคยยอมรับว่าเธอสร้างชีวิตร่วมกับคนที่มีนิสัยรักการผจญภัยอยู่แล้ว แต่ เจเน็ท ก็ต้องทำใจรับกับความเสียสละที่เกิดขึ้นในการเดินทางไปสู่ประวัติศาสตร์ที่ไม่คาดหวังครั้งนี้ ขณะที่ นีล เดินทางไปยังสวรรค์ เพื่อรับมือกับความเสียใจที่มีต่อการสูญเสียที่เธอกับเขามีร่วมกัน แต่ เจเน็ท ต้องรับมือกับเรื่องทางโลกในการทำหน้าที่เป็นเสาหลักให้กับโครงการอวกาศที่เพิ่งเริ่มต้น ในฐานะหนึ่งในใบหน้าที่มีคนรู้จักมากที่สุดในครอบครัวนาซ่า เธอต้องใช้ชีวิตส่วนตัวด้วยความสงสัยว่าเธอเป็นผู้เลือกเส้นทางนี้เพื่อสร้างประวัติศาสตร์ หรือฟ้าเป็นผู้กำหนดชะตาของครอบครัวอาร์มสตรองกันแน่
กอสลิงและฟอย ยังได้ร่วมจอกับทีมนักแสดงที่ประสบความสำเร็จ ผู้รับบทเป็นกลุ่มคนที่ได้รับเลือกให้เข้าร่วมโครงการเจมินี ร่วมกับอาร์มสตรอง ไม่ว่าจะเป็น เจสัน คล๊าร์ก (Dawn of the Planet of the Apes) ผู้รับบท เอ๊ด ไวต์, แพทริค ฟูจิท (Gone Girl) ผู้รับบท เอลเลียต ซี, อีธาน เอ็มบรีย์ (ผลงาของ Netflix เรื่อง Grace and Frankie) ผู้รับบท พีท คอนราด, ปาโบล ชไรเบอร์ (ผลงานของ STARZ เรื่อง American Gods) ผู้รับบท จิม โลเวลล์, คริสโตเฟอร์ แอ็บบ็อตต์ (ผลงานของ HBO เรื่อง Girls) ผู้รับบท เดวิด สก็อตต์, คอรี่ย์ สโตลล์ (ผลงานของ Netflix เรื่อง House of Cards) รับบท บัซซ์ อัลดริน, สกายเลอร์ ไบเบิ้ล (Socially Awkward) รับบท ริชาร์ด เอฟ กอร์ดอน และ ชีอา วิแกม (Non-Stop) รับบท กัส กริสซอม
ผู้มารับบทเป็นทีมงานที่คอยบัญชาการภารกิจยุคเริ่มแรกเหล่านี้ก็คือ ไคล แชนด์เลอร์ (Game Night) รับบท ผู้อำนวยการควบคุมปฏิบัติการการบิน เดก สเลย์ตัน และเซียแรน ไฮนด์ส (Tinker Tailor Soldier Spy) รับบท บ็อบ กิลรูธ ผ.อ.คนแรกของศูนย์อวกาศ สมทบด้วย ลูคัส ฮาส (The Revenant) ในบท ผู้บังคับยานลงจอด ไมก์ คอลลินส์ และคอรี่ย์ ไมเคิล สมิธ (ผลงานทางทีวีเรื่อง Gotham) รับบท โรเจอร์ ชัฟฟี ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานที่โชคร้ายของกริสซอมและไวต์ ในยานบังคับการอะพอลโล่ ซึ่งถูกทำลายในระหว่างการทดสอบก่อนการบินที่แหลมคานาเวอรัล ที่เข้ามาร่วมสมทบทีมนักแสดงอีก ก็คือ โอลิเวีย แฮมิลตัน (La La Land) ในบท แพ็ต ไวต์ ผู้ทำหน้าที่เป็นเสมือนผู้ย้ำเตือนรายวันให้เพื่อนบ้านที่สนิทสนมกันรู้ถึงภัยคุกคามที่แท้จริงที่พวกเขาทุกคนกำลังเผชิญหน้าอยู่
บทภาพยนตร์เป็นฝีมือการเขียนบทของเจ้าของรางวัลออสการ์ จอช ซิงเกอร์ (Spotlight, The Post) ภาพยนตร์ดราม่าเอพิคเรื่องนี้อำนวยการสร้างโดย วิค ก็อดฟรีย์ และมาร์ตี้ โบเว่น (The Twilight Saga, The Fault in Our Stars) ภายใต้ชื่อบริษัท เทมเปิล ฮิลล์ เอนเตอร์เทนเมนต์ ร่วมด้วย ไอแซ็ค เคล้าส์เนอร์ (Love, Simon) และชาเซลล์ โดยมี สตีเว่น สปีลเบิร์ก, อดัม เมอริมส์ และซิงเกอร์ ทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างบริหาร ขณะที่ ดรีมเวิร์กส์ พิคเจอร์ส ร่วมออกทุนสร้างให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้
สำหรับ First Man ชาเซลล์ได้กลับมาร่วมทีมกับทีมงานที่คุ้นเคยจาก La La Land อาทิเช่น ผู้กำกับภาพเจ้าของรางวัลออสการ์ ไลนัส แซนด์เกรน (American Hustle) และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายระดับสุดยอดฝีมือ แมรี่ โซเฟรส (True Grit) รวมไปถึงมือลำดับภาพระดับรางวัลออสการ์ ทอม ครอสส์ (Whiplash) และผู้แต่งดนตรีประกอบเจ้าของรางวัลออสการ์ จัสติน เฮอร์วิทซ์ (Whiplash)
ชาเซลล์ได้ร่วมงานกับโปรดักชั่น ดีไซเนอร์ที่ได้รับคำชม นาธาน โครว์ลี่ย์ (Dunkirk, The Greatest Showman) เป็นครั้งแรก รวมถึงวิชวล เอฟเฟ็กต์ ซูเปอร์ไวเซอร์ระดับรางวัลออสการ์ พอล แลมเบิร์ต (Blade Runner 2049, The Huntsman: Winter’s War)
เบื้องหลังงานสร้าง
มนุษย์คนแรกที่เหยียบดวงจันทร์:
งานเผยชีวิตส่วนตัว
สร้างจากหนังสือของ เจมส์ อาร์ แฮนเซ่น เรื่อง “First Man: The Life of Neil A. Armstrong” ภาพยนตร์เรื่อง First Man เผยให้เห็นชีวิตส่วนตัวของวีรบุรุษของโลก และช่วงเวลาที่ไม่เป็นที่รับรู้ หลังจากได้รับปริญญาเอกทางด้านประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจากโอไฮโอ สเตท และใช้เวลากว่า 20 ปีในการเขียนหนังสือและสอนเกี่ยวกับอวกาศและประวัติศาสตร์ แฮนเซ่นตั้งใจที่จะเขียนหนังสือชีวประวัติเรื่องแรก ตอนนั้นเป็นปี 2000 ซึ่งแฮนเซ่นได้ติดต่อหา อาร์มสตรอง และขออนุญาตที่จะบอกเล่าเรื่องราวของเขา หลังจากสองเดือนผ่านไป อาร์มสตรอง ที่แทบไม่เคยยอมตกลงใจให้สัมภาษณ์กับใคร ก็ตอบปฏิเสธอย่างสุภาพ
เวลาผ่านไปพักใหญ่หลังจากที่แฮนเซ่นติดต่อไปครั้งแรก ก่อนที่ อาร์สตรอง จะลงมือเขียนเรื่องราวชีวประวัติของเขาเอง “สำหรับผมแล้ว ต้องใช้เวลาถึงสองปีกว่าจะได้ไฟเขียวจากเขา” แฮนเซ่นบอก “ครอบครัวของนีลสนับสนุนให้เขาทำครับ วินาทีสำคัญมาถึงเมื่อเขาเชิญผมไปที่บ้านของเขาในย่านชานเมืองของซินซินแนติ ซึ่งเขาอยู่อาศัยมากว่า 20 ปี เราใช้เวลาช่วงบ่ายในห้องหนังสือของเขา และพูดคุยกันอยู่หลายชั่วโมง ผมรู้สึกดีมากครับ แต่หลังจากได้เจอกันครั้งนั้น ก็ยังต้องใช้เวลากว่าเขาจะยอมร่วมงานด้วยอย่างเต็มที่นะครับ” แฮนเซ่นมองทั้งสองด้านของโปรเจ็กต์นี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจ “นีลอาจอยู่ในห้องนักบินและสามารถตัดสินใจได้ในทันที แต่เมื่อถึงเวลาต้องตัดสินใจเรื่องอื่นๆ ในชีวิต เขาค่อนข้างจะระมัดระวังและพิถีพิถันมากครับ”
ก่อนหน้าที่จะได้รับการแนะนำให้รู้จักอาร์มสตรองเป็นการส่วนตัว แฮนเซ่นได้ไปสัมภาษณ์คนหลายร้อยคนมาแล้ว และเป็นเพราะประสบการณ์นี้เองที่ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับอาร์มสตรอง “เรื่องหนึ่งที่สำคัญกับเขามากก็คือความไว้เนื้อเชื่อใจที่เขามีต่อตัวคุณครับ” แฮนเซ่นอธิบาย “ไม่ใช่แค่เราเติบโตมาโดยอยู่ห่างจากกัน 50 ไมล์เท่านั้น เขาเติบโตมาในโอไฮโอ ส่วนผมเติบโตในอินเดียน่า และไปเรียนหนังสือที่โอไฮโอสเตท แต่ครอบครัวของเราทั้งคู่เติบโตในฟาร์ม เราจึงเหมือนพูดภาษาเดียวกัน สิ่งที่เรารู้จักเกี่ยวกับตัวนีลเหมือนเป็นสัญลักษณ์แบบมิติเดียว แต่เขาก็คือมนุษย์ที่ใช้ชีวิต หายใจ และมีสามมิติเหมือนกันครับ”
เป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับทีมผู้สร้างที่ไม่ใช่แค่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับฮีโร่ที่เราเคยเห็นในภาพยนตร์หลายเรื่อง และในการสัมภาษณ์มากมาย แต่จะต้องสำรวจถึงสิ่งที่คอยผลักดันเขา ครอบครัวของเขา เพื่อนๆ ของเขาที่นาซ่า เพื่อกระทำภารกิจที่คาดไม่ถึง “นี่คือเรื่องราวเกี่ยวกับว่ามันยากแค่ไหน และมีความเสี่ยงขนาดไหน และมันอันตรายแค่ไหนสำหรับคนเหล่านั้น” อดัม เมอริมส์ ผู้อำนวยการสร้างบริหารของภาพยนตร์เรื่อง First Man กล่าว “นีลเริ่มต้นด้วยการเป็นนักบินในสงครามเกาหลี จากนั้น เขาก็กลายมาเป็นนักบินทดสอบให้กับกองทัพอากาศ และในที่สุดก็มาทำงานให้นาซ่า ในเวลานั้น นักบินทดสอบมีอัตราการเสียชีวิตสูงจนน่าตกใจ คนมากมายในช่วงต้นเรื่องในชีวิตของเขาเสียชีวิต แต่นีลยังคงยึดมั่นกับเส้นทางของเขา และทำสิ่งที่เคยถูกมองว่าไม่สามารถสำเร็จได้ จนสำเร็จ”
อาร์มสตรองได้พัฒนาความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้เขียนชีวประวัติของเขา ผู้ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างร่วมให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย และนั่นคือสิ่งที่ทำให้งานสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้เดินหน้าไปได้ “นีลมีความสัมพันธ์ที่ดีกับ จิม แฮนเซ่น ครับ และเขาก็รู้สึกสบายใจกับไอเดียที่จิมใส่ลงไปในหนังสือของเขา และสิ่งที่เขาหวังจะนำเสนอ” วิค ก็อดฟรีย์ ผู้อำนวยการสร้างของภาพยนตร์ First Man บอก “นีลคิดว่าตราบใดที่เรายังคงเดินหน้าทำงานตามพิมพ์เขียวที่จิมได้สร้างเอาไว้ เขาก็รู้สึกสบายใจที่จะให้เราเดินหน้าต่อไปกับการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้”
ถึงแม้จะเป็นที่รู้กันดีว่าเขาเป็นคนที่รักษาความเป็นส่วนตัวสูงมาก หลังจากได้พบกับทีมผู้สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว อาร์มสตรองตกลงใจให้มีการดัดแปลงสร้างภาพยนตร์จากชีวิตของเขาได้ โชคดีที่พวกเขาได้รับการแนะนำให้รู้จักกับอาร์มสตรองก่อนที่เขาจะเสียชีวิตไปเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ปี 2012 ก็อดฟรีย์อธิบายว่าไม่มีทางเลยที่จะสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ถ้าไม่ได้รับคำอวยพรจากอาร์มสตรอง “มันเป็นประสบการณ์ที่สุดยอดมากครับที่เราได้พบเขาจนได้” ผู้อำนวยการสร้างก็อดฟรีย์บอก “นีลเปิดกว้างกับไอเดียในการสร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับชีวิตของเขา ถ้าเขาไม่ตกลง เราก็คงมากันไม่ถึงจุดนี้หรอกครับ”
โบเว่นเล่าถึงเหตุการณ์ในวันนั้นว่า “ผมได้พบเขา พร้อมกับภรรยาคนที่ 2 ของเขาที่โจนาธาน คลับในย่านดาวน์ทาวน์ของลอสแองเจลิสครับ วันรุ่งขึ้นเขากำลังจะไปรับรางวัลๆ หนึ่ง มันก็ไม่ได้ดูน่ากลัวอะไรจนคุณได้จับมือกับเขา เขาเป็นคนที่จับมือได้หนักแน่นมาก เมื่อคุณเริ่มพูดคุย คุณรู้ตัวเลยว่าเขายังคงรู้รายละเอียดมากมายเกี่ยวกับประสบการณ์นั้น” โบเว่นมองเห็นถึงสองด้านที่น่าสนใจในตัวอาร์มสตรอง “เขาสามารถทำให้ห้องดูอบอุ่นขึ้นได้ เพราะในระหว่างที่พูดคุยถึงเรื่องราวที่มีความซับซ้อนเหล่านี้ เขากลับมีอารมณ์ขันที่ทำให้พวกเรามีความเชื่อมั่นครับ เขาเป็นคนที่สุดยอดมากจริงๆ”
นีล อาร์มสตรอง ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าเขาเป็นคนที่รักสันโดษอย่างมาก อยู่ในสายตาของครอบครัวและคนที่สนิทกับเขา มาร์ก อาร์มสตรอง ลูกชายของเขา หวังว่าภาพยนตร์เรื่องนี้คงจะทำให้ผู้คนได้รับรู้ว่าจริงๆ แล้วพ่อของเขาเป็นคนอย่างไร “ผมหวังว่าผู้คนคงมองเห็นพ่อว่าเป็นคนที่ต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่ยากลำบากมากครับ” มาร์ก อาร์มสตรอง กล่าว “พ่อได้รับข้อเรียกร้องมากมาย และพ่อก็ทำให้ดีที่สุดเพื่อทำเรื่องถูกต้อง นั่นคือหลักการของพ่อครับ การรับมือกับแต่ละสถานการณ์ และหาวิธีรับมือที่ลงตัวที่สุดครับ”
“พ่อเป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งครับ” ริค อาร์มสตรอง ลูกชายอีกคนของนีล ซึ่งเป็นพี่ชายของมาร์ก กล่าว “สำหรับคนที่เคยเห็นพ่อในข่าวอาจไม่รู้ แต่พ่อเป็นคนตลกมากนะครับ เวลาเห็นพ่ออยู่กับเพื่อนๆ พ่อจะเป็นคนที่แตกต่างไปจากที่เราเห็นตามข่าว ผมหวังว่าภาพยนตร์เรื่องนี้คงจะช่วยแสดงส่วนนั้นออกมาครับ”
การค้นหาผู้กล้า:
เดเมี่ยน ชาเซลล์ เข้าร่วมทีม
ถึงแม้ผู้อำนวยการสร้าง วิค ก็อดฟรีย์ และมาร์ตี้ โบเว่น จะยังคงพัฒนางานสร้างภาพยนตร์ First Man มาสักระยะ แต่ก็จนพวกเขาได้พบ เดเมี่ยน ชาเซลล์ ผู้กำกับรางวัลออสการ์ ที่ชิ้นส่วนสุดท้ายเหมือนถูกวางเข้าที่ นั่นคือช่วงเวลาหลังจากที่ ชาเซลล์ ได้สร้างภาพยนตร์เรื่อง Whiplash และอยู่ระหว่างเตรียมงานสร้างของภาพยนตร์เรื่อง La La Land ก็อดฟรีย์อธิบาย “เราบอกเดเมี่ยนเกี่ยวกับตัวละครของเรื่องนี้ แล้วเขาก็ตกหลุมรัก และตกลงใจที่จะเข้ามาช่วยพวกเราครับ นับจากตรงนั้น ทุกอย่างก็เคลื่อนที่ไปรวดเร็วมาก”
ชาเซลล์กับทีมผู้อำนวยการสร้าง ยังได้ดึงตัวมือเขียนบทรางวัลออสการ์อย่าง จอช ซิงเกอร์ ให้มาเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ โดย ชาเซลล์ รู้สึกประทับใจในฝีมือการนำเสนอตัวละครเอกของ ซิงเกอร์ เขารู้สึกว่าซิงเกอร์มีสัญชาตญาณในการเข้าถึงสิ่งที่น่าทึ่งที่สุดในตัวฮีโร่ของพวกเขา “เดเมี่ยนอยากให้นำเสนอเรื่องนี้เป็นแนวทริลเลอร์ครับ” ก็อดฟรีย์ให้ความเห็น “เขาอยากท้าทายกับความคาดหวังถึงสิ่งที่ต้องมีเพื่อจะพามนุษย์ไปเหยียบดวงจันทร์ และจับคุณไปอยู่ในประสบการณ์เวลานั้นว่ามันจะเป็นเช่นไร พร้อมด้วยอุปสรรคด้านเทคโนโลยีที่คนเหล่านี้ต้องเผชิญ”
ชาเซลล์เรียกร้องทีมผู้สร้าง ให้ทำทุกอย่างให้แน่ใจว่าสิ่งที่ปรากฎอยู่บนจอ จะต้องมีความเหมือนจริงกับยุคสมัยนั้น และภารกิจสุดโหดเหล่านี้ด้วย หลายเดือนก่อนที่การเตรียมงานสร้างจะเริ่มต้นขึ้น เขากับบรรดาเพื่อนร่วมงาน ต่างระดมพลังกันมาทำเวิร์กช้อปในเรื่องของฉากต่างๆ ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวอาร์มสตรอง และคนอื่นๆ ที่เข้าใจเรื่องราวของเขาอย่างใกล้ชิด
ทีมผู้อำนวยการสร้างต่างเห็นพ้องต้องกันว่าชีวิตตามความเป็นจริงของอาร์มสตรองนั้น น่ากลัวกว่าตัวนิยายเยอะ “มันคือความงดงามของภาพยนตร์เรื่องนี้ครับ” โบเว่นกล่าว “เราต่างได้เห็นภาพยนตร์ที่วางเหตุการณ์ให้เกิดขึ้นในอวกาศ และเมื่อคุณคิดถึงอวกาศ คุณจะคิดถึงเทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ รูปแบบดิจิตอล และคอมพิวเตอร์กราฟฟิค เป้าหมายของเดเมี่ยนก็คือการพยายามทำให้เรื่องนี้ดูเหมือนจริงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และการจะทำเช่นนั้นได้ ภาพยนตร์เรื่องนี้จะต้องให้อารมณ์แบบอะนาล็อคมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ความท้าทายของภาพยนตร์เรื่องนี้ สิ่งที่น่าตื่นเต้นก็คือ เราจะจับคนดูไปอยู่ในห้องนักบินได้อย่างไร เราจะทำให้พวกเขารู้สึกจริงๆ ได้อย่างไร ไม่ใช่แค่เห็น แต่รู้สึกและเป็นพยานต่อความสำเร็จที่เหลือเชื่อครั้งนี้”
ประโยคที่ได้ยินกันอยู่ตลอดในระหว่างเตรียมงานสร้างและการถ่ายทำก็คือ ‘เรามีคอมพิวเตอร์อยู่ในกระเป๋า ซึ่งมีกำลังแรงกว่าคอมพิวเตอร์ที่พาเราไปดวงจันทร์เสียอีกนะ’ “เราลืมไปว่าตอนที่พวกเขาพยายามส่งคนไปเหยียบดวงจันทร์ เราไม่ได้มีเทคโนโลยีอย่างที่พวกเรามีในปัจจุบันเลย” โบเว่นกล่าว “เราหวังที่จะพาคนดูผ่านประสบการณ์นั้น และแสดงให้เห็นถึงรายละเอียดที่คนหลายพันคนต้องมีในการทำงานเพื่อมุ่งไปสู่จุดหมายเดียว ถ้าคนใดคนหนึ่งทำพัง ทุกอย่างจะจบลงด้วยความล้มเหลว”
ความหลงใหลที่ชาเซลล์มีต่อความวุ่นวายของความเป็นสุดยอดฝีมือนี้ ทำให้เขาสนใจเรื่องราวของอาร์มสตรอง และความสนใจของเขาที่ถูกใส่เข้าไปในภาพยนตร์ย้อนยุคฟอร์มยักษ์ ที่เต็มไปด้วยฉากแอ็กชั่น มันคือพัฒนาการที่เป็นไปตามธรรมชาติ ขณะที่ตัวผู้กำกับยอมรับว่างานสร้างภาพยนตร์ประเภทนี้ปกติจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วยข้อจำกัดที่เกิดขึ้นจากขนาดของงานสร้าง หรือเอฟเฟ็กต์ด้านเทคนิคใหญ่ๆ เขารู้สึกว่าความร่วมมือจากกอสลิง ซึ่งขยายไปสู่ความผูกพันกับทีมงานผู้สร้างที่อยู่หลังกล้อง ทำให้ทุกอย่างสำเร็จลงได้
“ก่อนที่ผมจะเริ่มต้นทำงานกับ First Man ผมรู้เรื่องเกี่ยวกับภารกิจไปเยือนดวงจันทร์จากตำรา เป็นเรื่องราวความสำเร็จที่ทุกคนชื่นชม แต่แทบไม่มีเรื่องราวอย่างอื่นเลย” ชาเซลล์บอก “เมื่อผมเริ่มขุดลึกลงไป ผมก็ยิ่งทึ่งกับความบ้าและอันตรายของภารกิจนี้ จำนวนเวลาที่ต้องล้มเหลว รวมไปถึงความเสี่ยงที่ทุกคนที่เกี่ยวข้องต้องเจอ ผมอยากเข้าใจว่าอะไรที่เป็นตัวผลักดันให้คนเหล่านี้เดินทางไปในอวกาศ และประสบการณ์นั้นเป็นอย่างไร ทุกวินาที ทุกลมหายใจ”
เพราะทึ่งกับรายละเอียดต่างๆ และสัญชาตญาณของอาร์มสตรอง ทำให้ ชาเซลล์ ขุดลึกลงไปเพื่อทำการค้นคว้า “เพื่อจะเข้าใจ ผมต้องศึกษาชีวิตที่บ้านของนีล นี่คือเรื่องราวที่ต้องศึกษาระหว่างดวงจันทร์กับพื้นที่ในครัว เป็นการศึกษาเรื่องราวในอวกาศ ผสมรวมกับชีวิตประจำวัน” ชาเซลล์กล่าวต่อ “ผมเลือกที่จะถ่ายทำภาพยนตร์ตามความเป็นจริง เป็นการเฝ้าสังเกตทั้งภารกิจในอวกาศ และช่วงเวลาที่เป็นส่วนตัวที่สุดของครอบครัวอาร์มสตรอง ความหวังของผมก็คือวิธีการนี้จะช่วยเน้นย้ำถึงช่วงเวลาที่หัวใจสลาย ความสุข การใช้ชีวิต และการสูญเสีย เพื่อเป้าหมายที่โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์ นั่นก็คือการไปเหยียบดวงจันทร์”
ถึงแม้แต่เริ่มเดิมที ผู้กำกับเคยมองภาพยนตร์เรื่องนี้ว่าเป็นงานสารคดีที่มีสไตล์ แต่ กอสลิง เป็นผู้ผลักดันให้เขาพิจารณาคำๆ นั้นในแบบที่ตรงไปตรงมามากขึ้น กอสลิง ดารานำของภาพยนตร์ First Man ขอให้ผู้กำกับนำเสนอเรื่องราวนี้ในแบบที่เป็นภาพยนตร์อย่างเต็มตัว โดยจะต้องเก็บทุกรายละเอียด รวมไปถึงทุกช่วงเวลา จนถึงจุดที่ลงจอดบนดวงจันทร์ ชาเซลล์สรุปว่า “ไรอันนำเสนอไอเดียประมาณว่า ‘ห้องครัวและดวงจันทร์’ ซึ่งกลับกลายมาเป็นหลักการที่ผมใช้อธิบายความเป็น First Man ให้กับหัวหน้าทุกแผนก ทีมงาน และนักแสดงทุกคนในภาพยนตร์เรื่องนี้ครับ”
จอช ซิงเกอร์ ผู้มีชื่อเสียงในเรื่องของการพัฒนาบทภาพยนตร์ที่น่าประทับใจอย่าง Spotlight และ The Post เมื่อเขาได้รับมอบหมายให้เป็นผู้เขียนบทภาพยนตร์เรื่อง First Man มือเขียนบทเจ้าของรางวัลออสการ์ผู้นี้ จึงเดินหน้าค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับฮีโร่แนวใหม่ ซิงเกอร์ได้พูดถึงกระบวนการทำงานของเขาว่า “ผมสามารถดำดิ่งและทำการค้นคว้ามากขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวกับครอบครัวนี้ เกี่ยวกับนักบินอวกาศ กับผู้คนอย่าง แฟรงก์ ฮิวจ์ส ซึ่งเป็นครูฝึกโครงการเจมินีและอะพอลโล่ และเป็นคนที่มีความรู้มากมาย นี่คือสิ่งที่ผมชอบทำมากครับในฐานะมือเขียนบท การนำตัวเองดำดิ่งไปในโลกใบหนึ่ง และเรียนรู้ให้มากที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ จากนั้นก็พยายามนำเสนอสิ่งนั้นบนหน้ากระดาษ”
ซิงเกอร์ยอมรับว่าเขารู้สึกทึ่งที่อาร์มสตรองไม่ลดละที่จะตามล่าเป้าหมายสำคัญหนึ่งเดียวนี้ “เขาอาจล้มเหลวแล้วล้มเหลวอีก และเขาก็จะกลับมาลุกขึ้นยืนครั้งแล้วครั้งเล่า และเรียนรู้จากความล้มเหลวของเขา ซึ่งก็คือโครงการของนาซ่าด้วยครับ” ซิงเกอร์บอก “ถ้าคุณลองพิจารณางานของเขา แม้กระทั่งจะสั้นๆ อย่างที่เห็นในบทภาพยนตร์ คุณรู้ว่า X-15 มีปัญหา Gemini VIII ก็มีปัญหาความเป็นความตาย นี่ยังไม่พูดถึง LLTV ที่เขาต้องดีดตัวออกมา” เขาหยุดพูด และครุ่นคิด “จากการลองผิดลองถูกที่เขาเผชิญมา เขาไม่น่าจะเป็นคนที่เหมาะกับการไปเยือนดวงจันทร์เลย แต่เมื่อคุณคิดให้ดีๆ การทดลองพวกนั้นแหละที่ทำให้นีลคือคนที่ใช่ที่จะไปเยือนดวงจันทร์ครับ”
หลังจากเจาะลึกไปในความท้าทายต่างๆ ที่อาร์มสตรองต้องเผชิญ และพบรายละเอียดลึกซึ้งมากมายเกี่ยวกับชีวิตของเขา ซิงเกอร์เชื่อมั่นว่ามีเรื่องราวที่จะบอกเล่าออกมาเป็นภาพยนตร์ได้ “ปัจเจกชนผู้รอดจากเหตุการณ์ที่ยากลำบากเหล่านี้ และแข็งแกร่งขึ้น และเดินหน้าต่อไป ผู้ชายคนนั้นคือใครกันล่ะ” เขาตั้งคำถาม “มันสะดุดใจผมว่าสุดท้ายแล้วนี่คือภาพยนตร์เกี่ยวกับการเสียสละ และความเสียใจและบาดแผลที่พวกเราต้องอดทน เราจะผ่านบาดแผลเหล่านั้นและเดินหน้าต่อไปอย่างไร จะต้องใช้อะไรบ้างเพื่อจะทำสิ่งที่มหัศจรรย์ได้อย่างที่นีลทำ”
ซิงเกอร์พบความหมายของการบุกเบิกนี้ผ่านการเลือกอาชีพของเขาเอง “มีการแสดงความคิดว่างานวิศวกรรมคือการป้องกันความล้มเหลว หมายความว่าสิ่งที่วิศวกรรมทำก็คือการทดสอบแล้วทดสอบอีก และค้นหาว่ามีจุดล้มเหลวอยู่ตรงไหน จากนั้นมันจึงประสบความสำเร็จ ถ้าคุณลองดูงานของนีล เขามักผลักดันความล้มเหลว และเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ จนประสบความสำเร็จ” ซิงเกอร์เล่า “สิ่งที่เราต้องการนำเสนอให้ได้ก็คือ นี่คือสิ่งที่ยากมาก เมื่อคุณเสียเพื่อนไป มันไม่ใช่แค่การมองนาฬิกาและกลับขึ้นไปบินใหม่อีกครั้ง คุณเสียเพื่อนไป มันเจ็บปวดรวดร้าว คุณเสียลูกสาวไป มันคือสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในโลก ความแข็งแกร่งที่แท้จริงคือการทำใจให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้ แม้ว่าคุณจะมีบาดแผลและความเจ็บปวด ความแข็งแกร่งที่แท้จริงก็คือความล้มเหลว และสามารถพาตัวเองลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง”
ถึงแม้ผลของการลงจอดบนดวงจันทร์ของอะพอลโล่ 11 จะเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้ว แต่ขั้นตอนที่อันตรายที่นำไปสู่ภารกิจนี้ รวมไปถึงความอดทนและความมุ่งมั่นของชายที่เป็นผู้เหยียบดวงจันทร์เป็นก้าวแรกนั้น กลับเป็นเรื่องลึกลับสำหรับคนส่วนใหญ่ “สำหรับเหตุการณ์ที่ถือว่าโด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์โลก มันน่าตกใจนะที่มีคนรู้เกี่ยวกับรายละเอียดปลีกย่อยของเหตุการณ์ครั้งนี้น้อยมาก และยังรู้เกี่ยวกับชายผู้ก้าวลงเหยียบดวงจันทร์เป็นคนแรกน้อยมากด้วย” ชาเซลล์กล่าว “มันทำให้ผมอึ้งไปเลยนะครับที่เหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้กลับไม่เคยถูกนำเสนอในภาพยนตร์มาก่อนเลย เราอยากเน้นย้ำให้เห็นว่ามันน่ากลัวแค่ไหนที่ต้องขึ้นไปในอวกาศ มันเหมือนกับกระป๋องตะกั่วหรือการนอนในโลงศพเลยนะครับ”
เป้าหมายของผู้กำกับก็คือการทำให้คนดูได้เห็นมุมมองของสิ่งที่จำเป็นต้องมีเพื่อจะฝึกฝนสำหรับภารกิจแบบนี้ รวมไปถึงการเป็นคนที่อยู่ภายในห้องนักบิน ทั้งซิงเกอร์, กอสลิง และชาเซลล์ ต่างได้รับแรงบันดาลใจที่จะจับความสมจริง ความยาก และความน่ากลัวของการเดินทางครั้งนี้ รวมไปถึงการเสียสละที่จำเป็นต้องมีเพื่อจะกลายเป็นมนุษย์คนแรกบนดวงจันทร์
“มีเรื่องราวอื่นๆ อีกมากมายที่เล่าเกี่ยวกับการไปเหยียบดวงจันทร์ แต่ผมอยากรู้ว่าจะเป็นยังไงในช่วงเวลาหลายปีที่นำไปสู่ก้าวแรกบนดวงจันทร์ของมนุษย์ รวมถึงมันจะเป็นยังไงกับการเป็นผู้ชายคนนั้นที่ประทับรอยเท้าแรกบนดวงจันทร์” ชาเซลล์บอก “มีคนเพียงแค่หยิบมือเดียวที่เคยไปถึงดวงจันทร์ และนีล อาร์มสตรองคือคนแรก และที่สำคัญไปกว่านั้น มันคือเรื่องราวที่เต็มไปด้วยอารมณ์ของคนที่พยายามจะเป็นพ่อ เป็นสามี ขณะเดียวกันก็ต้องเดินทางท่องไปในอวกาศ”
เป็นเรื่องสำคัญสำหรับทีมผู้สร้างที่จะต้องเปิดเผยตัวของชายผู้ประทับรอยเท้าแรก และเผยให้เห็นถึงความจริงเบื้องหลังบุคลิกส่วนตัวของเขา “หนึ่งในหลายๆ ความท้าทายในความพยายามหาวิธีที่จะนำเสนอเรื่องราวนี้ออกมาอย่างเป็นธรรม ก็คือ นีลเป็นตัวละครที่พูดจานุ่มนวล ผู้ปฏิเสธที่จะเดินตามรูปแบบวีรบุรุษคลาสสิก” ผู้อำนวยการสร้าง ไอแซ็ค เคล้าส์เนอร์ แบ่งปันความคิดเห็นของเขา “เขาไม่แสดงอารมณ์ออกมามากนัก เขาค่อนข้างเก็บตัวจากสายตาผู้คน จนเป็นปริศนาสำคัญที่จะต้องคิดหาทางที่จะเข้าถึงนีลอย่างแท้จริง และหาวิธีที่จะเล่าเรื่องราวนี้ออกมา จนคุณรู้สึกว่าคุณได้เรียนรู้เกี่ยวกับชายคนนี้โดยไม่ต้องหักหลังต่อความเป็นตัวเขา”
ด้วยการสนับสนุนจากครอบครัวอาร์มสตรอง ชาเซลล์, ซิงเกอร์ และทีมผู้อำนวยการสร้าง จึงลงมือทำงานเพื่อนำเอาเรื่องราวของฮีโร่ชาวอเมริกันผู้นี้มาขึ้นจอภาพยนตร์ ภาพยนตร์เรื่องนี้กินเวลาตั้งแต่ปี 1961 ถึง 1969 ซึ่งจะทำให้คนดูได้เห็นภาพที่ชัดเจนของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเบื้องหลังกำแพงของนาซ่า รวมไปถึงได้เห็นชีวิตส่วนตัวของอาร์มสตรอง
เป็นเรื่องสำคัญสำหรับทีมผู้สร้างที่จะต้องจดจำเอาไว้ว่า ถึงแม้ว่าเขาจะจริงจังกับงานสักเพียงใด แต่อาร์มสตรองเป็นคนที่มีอารมณ์ขัน “เขาสนุกกับลูกๆ ของเขามาก” ก็อดฟรีย์บอก “สำหรับเขา มีแง่มุมที่เราหวังจะเผยให้เห็นและสำรวจมัน หนึ่งในมนุษย์ปุถุชนจริงๆ ความกดดันในช่วงเวลาแห่งทศวรรษนี้มันพิเศษจริงๆ ครับ แต่เขายังหยัดยืนอยู่ได้ ต้องใช้ความขยันหมั่นเพียรและความอุทิศตนถึงจะทำสิ่งที่เขาทำสำเร็จได้ในที่สุด เดเมี่ยนมักมุ่งเน้นไปที่ตัวละครที่มีความหลงใหล คุณมักพบว่าในภาพยนตร์ของเขาจะมีความหลงใหลในระดับที่จริงจัง ซึ่งดูมีเสน่ห์จากจุดยืนในด้านดราม่า”
หลังจากที่ นีล อาร์มสตรอง จากไปในปี 2012 แรงสนับสนุนจากครอบครัวของเขายังมีอย่างมากมาย “ผมได้พบกับ จอช ซิงเกอร์ ในปี 2015 เมื่อผมรู้ว่าเขากำลังทำงานกับภาพยนตร์เรื่องนี้” ริค อาร์มสตรอง เล่า “ผมอยากเห็นว่าพวกเขาใช้วิธีใดเพื่อตัดสินใจว่านี่คือภาพยนตร์ในแบบที่ผมอยากเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยหรือไม่ ผมประทับใจกับจำนวนข้อมูลการค้นคว้าที่จอชทำ และความทุ่มเทต่อความถูกต้องครับ”
หลังจากได้พูดคุยกับชาเซลล์ ลูกชายของอาร์มสตรอง ก็มีความเชื่อมั่นที่จะเดินหน้าต่อไป “ต่อมา ผมได้พบกับเดเมี่ยน และสิ่งที่เหมือนกันก็คือความจริง นั่นคือสิ่งสำคัญกับพ่อมากครับ” ริค อาร์มสตรอง กล่าวเสริม “ความจริงที่ว่าพวกเขาอยากลองสร้างภาพยนตร์ที่เหมือนจริงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เป็นเรื่องที่ดีครับ ดังนั้น เราจึงอยากแน่ใจว่าพวกเขามีข้อมูลทุกอย่างที่พวกเขาสามารถหาได้ เพื่อจะทำเช่นนั้นได้ครับ”
กอสลิงสวมวิญญาณ อาร์มสตรอง:
สุดยอดนักแสดงชายเข้าร่วมทีม
ถึงแม้กอสลิงกับชาเซลล์จะเคยร่วมงานด้วยกันมาใน La La Land แต่การเตรียมงานสร้างและระยะเวลาในการถ่ายทำของ First Man ซึ่งขยายไปถึงงานในส่วนโพสต์โปรดักชั่นด้วยนั้น ถือเป็นงานยักษ์อีกระดับหนึ่งไปเลย “ไรอันกับผมมีความสัมพันธ์ที่มากไปกว่า ‘นักแสดง-ผู้กำกับ’ ครับ” ผู้กำกับชาเซลล์บอก “นั่นคือสิ่งที่สำคัญสำหรับความรู้สึกแบบสารคดีของภาพยนตร์เรื่องนี้ ตอนที่ผมพูดคุยกับเขาครั้งแรกเกี่ยวกับ First Man ผมมองว่ามันเป็น ‘ภาพยนตร์ภารกิจ’ เขาคือคนที่ตีความว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเสียใจ”
มันไม่ใช่แค่ช่วงเวลาสองอาทิตย์ที่มีการซักซ้อมก่อนการถ่ายทำกับกอสลิงและนักแสดงที่แสดงเป็นคนในครอบครัวอาร์มสตรองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการซักซ้อมหลายต่อหลายฉากที่ผู้กำกับและดารานำลงเอยด้วยการด้นมุกในฉากนั้นด้วยกันสดๆ ชาเซลล์ลงเอยด้วยการถ่ายทำหลายต่อหลายฉากเหล่านี้ และกลายเป็นว่ามีอยู่หลายฉากที่ปรากฎอยู่ในภาพยนตร์ที่เข้าฉาย
ชาเซลล์รู้สึกประทับใจกับสิ่งที่กอสลิงสร้างสรรค์ขึ้น “ไรอันพบแทร็คที่ใช้เครื่องดนตรีเธรามินที่นีลชอบมาก และเป็นเพลงที่เขาเปิดระหว่างภารกิจอะพอลโล่ 11” ชาเซลล์เล่า “นอกจากนี้ เขายังเป็นคนเจอ ‘Egelloc’ เพลงที่นีลแต่งตอนเรียนมหาวิทยาลัย และบทสัมภาษณ์อันหนึ่งของเขาเกี่ยวกับบรรยากาศโลก ซึ่งกลายมาเป็นพื้นฐานให้กับคำแถลงการณ์ที่จอชเขียนให้กับนีล”
ทีมผู้อำนวยการสร้างรู้ดีว่ากอสลิงสามารถแสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทและความดุดันที่จำเป็นสำหรับชายคนแรกที่ไปเหยียบดวงจันทร์ได้ แต่พวกเขารู้สึกประหลาดใจที่กอสลิงดูไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรเลยในการทำให้เรื่องที่มีความซับซ้อนเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา “สิ่งที่สะดุดใจผมเกี่ยวกับตัวนีลก็คือ เขาเป็นคนที่เก็บความรู้สึกและไม่แสดงออกมากนัก” ชาเซลล์บอก “เขาไม่ใช่ผู้ชายประเภทขาลุยแบบคาวบอยหรือเป็นนักบินที่พูดจ้อ เขาเป็นคนที่พูดน้อย เป็นคนเงียบๆ ที่นั่งอยู่ตรงมุมห้อง แต่กลับเป็นคนที่คอยประเมินทุกสิ่งอย่าง เป็นคนที่ฉลาดที่สุดในห้องครับ”
ความสัมพันธ์ระหว่างชาเซลล์และกอสลิงในระหว่างทำงานกับภาพยนตร์เรื่อง La La Land ทำให้เขาเคยสัมผัสขอบเขตฝีมือการแสดงของกอสลิงมาแล้ว โดยเฉพาะเซนต์ในการแสดงฉากในแบบที่ไม่ต้องเล่นมาก “นีลมักยืนยันว่าเขาไม่ได้มีความพิเศษอะไรในตัวเลย” ชาเซลล์กล่าวต่อ “เขาเคยบอกว่าเขาเป็นเพียงหนึ่งในคนมากมาย และสภาพแวดล้อมทำให้เขาสามารถกลายเป็นมนุษย์คนแรกที่ไปเหยียบดวงจันทร์ได้ สำหรับเขา มีความธรรมดาเช่นนี้ และสไตล์ของไรอันก็เป็นแบบเบาๆ ทำให้เขาสามารถแสดงความธรรมดาแบบนั้นออกมาได้ครับ”
หนึ่งในนักวิจารณ์ที่โหดที่สุดก็คือหนึ่งในคนเพียงไม่กี่คนบนโลกนี้ที่รู้เรื่องอาร์มสตรองดีที่สุด โชคดีที่กอสลิงสอบผ่านสำหรับแฮนเซ่น “ผมนึกไม่ออกเลยว่าจะมีนักแสดงคนไหนที่สามารถแสดงบทนี้ได้ดีกว่าไรอันแล้วครับ” แฮนเซ่นกล่าวชม “ไรอันมีคุณสมบัติถ่อมตน เงียบขรึม มีความฉลาดแบบเดียวกับที่นีลมี แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็เป็นนักแสดงที่เก่งมาก ผู้สามารถแสดงเป็นตัวละครอย่างอาร์มสตรอง ผ่านความเข้าใจของเขาเองว่านีลเป็นคนอย่างไร และดึงเอาคุณสมบัติต่างๆ ในตัวนีลที่เราอาจไม่เคยเห็นยกเว้นแต่คุณจะสนิทสนมกับเขาจริงๆ ออกมาได้”
แฮนเซ่นพิสูจน์แล้วว่าเขาคือแหล่งข้อมูลที่ล้ำค่าสำหรับกอสลิง เมื่อเขาเตรียมตัวให้พร้อมแสดงบทบาทนี้ “ไรอันได้พบกับ จูน น้องสาวของนีล หลังจากที่ผมอธิบายว่าเธอมีความสำคัญขนาดไหนต่อความเข้าใจที่ผมมีต่อตัวนีล โดยเฉพาะผลกระทบจากการตายของลูกสาวของเขา” แฮนเซ่นเล่า “ไรอันนั่งอยู่ในบ้านไร่หลังเดียวกับที่ผมเคยนั่งสัมภาษณ์นีล และได้พูดคุยกับจูน และหนึ่งในเพื่อนสมัยเด็กของนีล เขาได้ฟังเรื่องราวต่างๆ ถามคำถาม และได้พบกับลูกชายของนีล รวมไปถึงสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัว เขาทุ่มเทตัวเองกับบทบาทนี้อย่างเต็มตัว เขาทำการบ้านมา และด้วยการแสดงระดับสุดยอดของเขา เขาตั้งใจจะนำ นีล อาร์มสตรอง ให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งครับ”
มันคือการผสมรวมระหว่างความเข้าใจของชาเซลล์และหนังสือของแฮนเซ่นที่ทำให้กอสลิงรู้สึกทึ่ง “ผมคิดเมื่อผมได้เรียนรู้ว่าดวงจันทร์คืออะไร ผมได้เรียนรู้ว่าคนที่ชื่อ นีล อาร์มสตรอง ไปเดินอยู่บนดวงจันทร์” กอสลิงกล่าว “เขามีความหมายเหมือนดวงจันทร์ แต่หลังจากผมได้อ่านหนังสือของ เจมส์ แฮนเซ่น เรื่อง First Man ผมถึงรู้สึกตัวว่าผมรู้เกี่ยวกับเขาน้อยมาก ในเรื่องของอารมณ์ ผมรู้สึกประหลาดใจที่รู้ว่านีลและเจเน็ท ภรรยาของเขา ได้ผ่านการสูญเสียมาขนาดไหนก่อนหน้านั้น และในระหว่างภารกิจที่เป็นประวัติศาสตร์เหล่านี้ด้วย ในระดับของการปฏิบัติ ผมว่าผมยังไม่เข้าใจทั้งหมดหรอกว่าภารกิจเหล่านี้มีอันตรายแค่ไหน แคปซูลอวกาศเหล่านั้นมันน่าอึดอัดและเปราะบางแค่ไหน และเทคโนโลยีมันโบราณแค่ไหนเมื่อเทียบกับมาตรฐานของปัจจุบันครับ”
เช่นเดียวกับผู้กำกับชาเซลล์ กอสลิงเองก็รู้สึกสนใจในเรื่องที่ว่าโลกของอาร์มสตรองและเพื่อนๆ นั้นมีความยากลำบากเพียงใด และต้องใช้ความพยายามมากขนาดไหนกว่าจะทำให้ภารกิจที่ยิ่งใหญ่นี้สำเร็จลงได้ “ผมมักสนใจในความสุดขั้วของเรื่องๆ หนึ่งอยู่แล้วครับ” กอสลิงบอก “สำหรับผม ความโดดเด่นของเรื่องนี้มันอยู่ตรงที่ว่าความสุดขั้วเหล่านั้นมันมีความโลดโผนมากแค่ไหน ผมยังแทบนึกไม่ออกเลยถึงชีวิตที่ต้องเดินคู่ขนานกันไประหว่างความใกล้ชิดของชีวิตส่วนตัวของอาร์มสตรอง กับธรรมชาติที่เวิ้งว้างของอวกาศ ซึ่งถูกถักทอเข้าด้วยกัน นักบินอวกาศเหล่านี้ต้องใช้ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ของพวกเขาเพื่อรับมือกับปริศนาที่มีอย่างมากมายไม่จำกัดของจักรวาล และในเวลาเดียวกัน ก็ต้องเดินออกไปทิ้งขยะและคอยตัดหญ้าที่สนามหญ้าของบ้านตัวเองบนโลกด้วย”
เป็นอีกครั้งที่กอสลิงได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความทุ่มเทที่เขามีให้กับงานศิลปะของตน อย่างที่เคยได้เห็นการเตรียมตัวของเขาเพื่อรับบทที่ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์จากภาพยนตร์เรื่อง La La Land ซึ่งเขาต้องหัดเล่นเปียโนให้ได้ภายในเวลาแค่สามเดือน เช่นเดียวกับตอนที่เขาต้องเตรียมตัวเพื่อไปรับบทในภาพยนตร์เรื่อง The Notebook กอสลิงใช้เวลาสองเดือนในการซึมซับวัฒนธรรมของเมืองชาร์ลส์ตัน, เซ้าธ์ แคโรไลน่า และเช่นเดียวกับตัวละครของเขา เขาต้องเรียนรู้ที่จะทำเฟอร์นิเจอร์แบบตัวละครที่เขาแสดง
ใน First Man กอสลิงได้พิสูจน์ให้เห็นถึงการอุทิศตัวด้วยการใช้เวลาในการเรียนรู้เพื่อจะแสดงเป็นบุคคลที่คนทั้งโลกรู้จัก สำหรับทีมผู้สร้าง ทั้งผู้กำกับและดารานำของเขา มีความเชื่อมโยงถึงกันในเรื่องของความต้องการให้ได้มาซึ่งความสมบูรณ์แบบ “ไรอันมีความทุ่มเทเพื่อจะสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมครับ” ผู้อำนวยการสร้าง โบเว่น สรุป “เขารู้ดีถึงมรดกที่เขากำลังจะทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง บ่อยครั้งที่คนที่มีความคิดคล้ายๆ กันมักจะพบกับอีกคนในเนื้อหาที่พวกเขาสามารถเชื่อมโยงกันได้ มันสมเหตุผลแล้วที่ไรอันและเดเมี่ยนอยากทำงานด้วยกัน เมื่อคุณได้ดู La La Land ตัวละครที่ ไรอัน แสดง ก็คือคนที่มีความหลงใหลในงานของเขา เพราะไรอันเองก็มีความหลงใหลในงานของเขาเช่นกันครับ”
กอสลิงได้นำเอาความพิเศษอย่างหนึ่งมาสู่บทบาทที่เขาแสดง โบเว่นบอกเอาไว้ว่า “มันคือความเป็นมนุษย์ปุถุชนของเขาครับ มันคือความเข้าใจที่เขามีต่อความรู้สึก และมันไม่ใช่อารมณ์ฟูมฟาย ดังนั้น บ่อยครั้งที่ผู้คนอยากจะทำให้คุณอิ่มเอมไปกับความรู้สึกของพวกเขา คนที่ทำงานเก่งๆ เท่านั้นที่จะรู้ว่าจะทำเช่นไรเพื่อจะทำให้คุณรู้สึกเอนเอียงเข้าหาได้ครับ”
ความนับถือที่มีต่อดารานำชายของภาพยนตร์เรื่องนี้ ยังขยายไปถึงบรรดาทีมงานและทีมสนับสนุนที่ได้ทำงานกับชาเซลล์และกอสลิงในระหว่างการถ่ายทำ แฟรงก์ ฮิวจ์ส ซึ่งเคยทำหน้าที่เป็นครูฝึกนักบินอวกาศให้กับโครงการอะพอลโลและเจมินี ทำการฝึกกอสลิงในแบบเดียวกับที่เขาเคยฝึกอาร์มสตรองในยุค 1960 “ไรอันอุทิศตนให้กับงานของเขาครับ” ฮิวจ์สบอก “ผมรู้สึกทึ่งมาก เราใช้เวลาอยู่ด้วยกันเพื่อจะนั่งมองแผงควบคุมของเจมินี และในช่วงเริ่มต้นกับอะพอลโล่ และต้องเรียนรู้สวิทต์ทุกอันและหน้าที่ของมัน เขาเข้าไปในห้องนักบิน และผมก็แสดงให้เขาเห็นว่าจะต้องวางมือเอาไว้ตรงไหนบ้าง ดวงตาของเขาจะมองไปทั่วขณะที่เขาคอยประเมินสถานการณ์ครับ”
กอสลิงยอมรับว่าการกลายเป็น นีล อาร์มสตรอง คงเป็นไปไม่ได้เลยถ้าปราศจากการช่วยเหลือของผู้ร่วมงานมากมาย “ผมรู้สึกว่าตัวเองได้รับสิทธิพิเศษที่ได้พบกับ เจเน็ท อาร์มสตรอง ก่อนที่เธอจะจากไป และผมโชคดีมากที่ได้พูดคุยกับลูกชายทั้งสองคนของนีล คือ ริคและมาร์ก และได้ใช้เวลาอยู่กับ จูน น้องสาวของนีล ที่ฟาร์มของพวกเขาในวาปาโคเนต้า, โอไฮโอ ซึ่งเป็นที่ที่นีลเกิด และพิพิธภัณฑ์ Armstrong Air & Space Museum และศูนย์ปฏิบัติการของนาซ่า ทั้งที่แหลมคานาเวอรัล และฮูสตัน ต่างก็เปิดประตูต้อนรับผม ยังมีผู้เชี่ยวชาญมาอยู่ที่กองถ่ายทุกวันเพื่อคอยให้คำแนะนำในเรื่องจำเพาะในทุกภารกิจที่เราพยายามจำลองภาพขึ้นมา ผมยังได้ติดต่อพูดคุยกับ เจมส์ แฮนเซ่น คนแต่งหนังสือ และได้อ่านหนังสือ First Man ของเขา ซึ่งเป็นงานที่ต้องผ่านการค้นคว้ามากมายและมีความยาวถึง 700 หน้า ผมไม่เคยได้รับการช่วยเหลือในการค้นคว้าข้อมูลในการแสดงบทมากขนาดนี้ หรือได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้คนมากมายที่กระตือรือร้นที่จะคอยช่วยผมมากขนาดนี้มาก่อนเลยครับ”
ความทึ่งของกอสลิงที่มีต่ออาร์มสตรองและทีมของเขา แทรกซึมไปทั่วทั้งกองถ่าย “สัญชาตญาณแรกของผมในการเตรียมตัวเพื่อแสดงบทนี้ก็คือ การเรียนรู้ว่าจะบินยังไง นีลบินได้ก่อนที่เขาจะขับรถเป็น มันเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นตัวเขา ดังนั้น ผมคิดว่าผมก็ควรจะเริ่มต้นจากตรงนั้น ในจุดหนึ่งระหว่างที่ผมฝึก ผมถูกเรียกร้องให้บังคับให้ยานอวกาศหยุดนิ่ง และผมก็เกิดความกระจ่างชัดขึ้นมาทันที นี่คือไอเดียที่สุดยอดมาก ผมเข้าใจในวินาทีนั้นเลยว่าทำไมนีลถึงได้เหมือนถูกกำหนดให้เกิดมาเป็นหนึ่งในนักบินที่เก่งที่สุดในโลก และทำไมผมถึงไม่ใช่ เช่นเดียวกับนักบินอวกาศคนอื่นๆ นีลเริ่มต้นด้วยการเป็นนักบินทดสอบ ต้องเป็นคนแบบหนึ่งโดยเฉพาะเท่านั้นที่จะกล้าเข้าไปในยานอวกาศที่ไม่เคยบินมาก่อน และบังคับมันไปจนถึงจุดแตกหัก เพื่อเป้าหมายเดียวคือการหาจุดบกพร่องของมัน เพื่อที่จะนำพาความเข้าใจที่เรามีต่อวิชาการบินให้ก้าวไปข้างหน้า”
หนึ่งในแฟนพันธุ์แท้ของกอสลิงในกองถ่าย ก็คือ นักแสดงหญิงผู้รับบทเป็นภรรยาบนจอของเขา “ไรอันเป็นคนที่มีบุคลิกอบอุ่นมากค่ะ” แคลร์ ฟอย ผู้รับบท เจเน็ท อาร์มสตรอง บอก “แต่ฉันว่าเขาก็ต้องทำงานอย่างทุ่มเทนะคะ เขาเป็นคนที่มีบุคลิกน่าคบหา นีลเองก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน ฉันว่าเขาไม่ใช่คนที่ต่อต้านสังคมหรือหยาบคาย เขาไม่ใช่คนที่ต้องทำทุกอย่างตามแบบแผน เขาไม่ได้ทำสิ่งที่ทุกคนทำกัน เขาทดลองและทำให้ทุกคนรู้สึกดีกับตัวเอง และถ้าเกิดความเงียบที่ชวนให้อึดอัดขึ้นมา ก็จงพยายามที่จะเติมเต็มมัน ไรอันเป็นคนใจดี อบอุ่น และน่ารักมากค่ะ นั่นคือสิ่งที่เขานำมาสู่ภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างเป็นธรรมชาติค่ะ”
ครอบครัวเหล่านักบินอวกาศ:
ฟอยนำทีมนักแสดงสมทบ
ในบรรดาสมาชิกในครอบครัวที่ปรากฎใน First Man ก็คือ เจเน็ต อาร์มสตรอง ซึ่งรับบทโดย แคลร์ ฟอย, แพ็ต ไวต์ รับบทโดย โอลิเวีย แฮมิลตัน และมาริลิน ซี รับบทโดย คริส สแวนเบิร์ก เพื่อเตรียมตัวมารับบทนี้ ฟอยอธิบายว่าเธอเองก็เหมือนกับหลายคนในทีมนักแสดงของภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่หันไปหาผู้แต่งหนังสืออย่างแฮนเซ่น “จิมให้เทปที่เขาบันทึกภาพเจเน็ตเอาไว้ตอนที่เขาสัมภาษณ์เธอค่ะ เธอกำลังโปรโมทโปรแกรมอวกาศ และให้การสนับสนุนสามีของเธอ เธอเป็นเหมือนกระบอกเสียงให้กับนาซ่า เฉกเดียวกับเป็นปากเสียงให้กับผู้หญิงคนอื่นๆ ค่ะ”
น่าเสียดายที่ฟอยไม่ได้พบกับ เจเน็ต อาร์มสตรอง ตัวจริง อันเนื่องมาจากสภาพอากาศรุนแรง ซึ่งทำให้อาร์มสตรองไม่สามารถมาเยี่ยมกองถ่ายที่แอตแลนต้าได้ เจเน็ตเสียชีวิตไปเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน ปี 2018 ด้วยวัย 84 ปี ฟอยรู้สึกประทับใจกับความแน่วแน่ของผู้หญิงที่เธอต้องรับบทแสดงอย่างมาก “คุณต้องยอมรับในทุกสิ่งที่เธอพูด เพราะแรงสนับสนุนภายนอกของเธอได้รับผลกระทบอย่างมากจากยุคสมัยนั้นที่มีความตึงเครียดสูงสำหรับผู้หญิงเหล่านี้” ฟอยกล่าว “เช่นเดียวกับภรรยาของนักบินอวกาศทุกคน พวกเธอปรากฏอยู่ในภูมิหลังของประวัติศาสตร์ ไม่มีใครใช้เวลาในการมาค้นคว้าหรอกว่าการเป็นพวกเธอนั้นเป็นอย่างไรบ้างจนกระทั่งในเวลาอีกนานต่อมา”
ฟอยที่เกิดในสต็อคพอร์ต, สหราชอาณาจักร ยอมรับว่าเธอรู้เรื่องเกี่ยวกับอะพอลโล่ 11 ดี และมันคือความสำเร็จ แต่ไม่มากเท่าความเป็นจริง “เมื่อฉันเดินทางมาอเมริกา ฉันรู้อย่างรวดเร็วเลยว่ามันเป็นช่วงเวลาที่สำคัญในประวัติศาสตร์อเมริกันมากขนาดไหน รวมถึงชีวิตของคนเหล่านี้ด้วย” ฟอยบอก เมื่อให้พูดถึงเหตุผลที่ทำให้เธออยากเข้ามาทำงานกับโปรเจ็กต์อย่าง First Man ฟอยบอกว่า “บางครั้ง เรื่องราวที่เงียบที่สุดก็คือเรื่องที่มีเสน่ห์ดึงดูดที่สุดค่ะ นี่คือเรื่องราวของชายคนหนึ่งที่ได้ทำสิ่งที่มันพิเศษสุดจริงๆ ค่ะ”
สำหรับฟอย เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเกี่ยวกับภารกิจ การเดินทางไปยังดวงจันทร์ หรือโครงการอวกาศเท่านั้น “มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับนีล ในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่ง และมันมีความหมายอย่างไรสำหรับคนๆ หนึ่งที่ได้สร้างความภาคภูมิแสนพิเศษให้กับมวลมนุษยชาติ” ฟอยกล่าว “และสิ่งที่ผลักดันพวกเขาให้ยอมเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อมนุษย์คนอื่นๆ มันเป็นการมองดูคนๆ นี้ที่อยู่ ณ ใจกลางของสิ่งนี้อย่างคุ้มค่า และคิดว่าคุณได้รับอะไรมาบ้างตลอดเวลา 50 ปีที่ผ่านมา เกี่ยวกับสิ่งที่คนๆ นี้ได้ทำเอาไว้ มันเป็นเรื่องของการมองย้อนกลับไป และถามถึงคุณค่าของชีวิตของคนๆ นั้นค่ะ”
First Man ยังเป็นครั้งแรกที่ ฟอย ได้ทำงานกับ ชาเซลล์ เธอรู้สึกพอใจกับความมุ่งมั่นของผู้กำกับ ฟอยกล่าวว่า “เดเมี่ยนรู้ดีค่ะว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ และเขาก็ทำให้ทุกคนตื่นเต้นไปกับมัน เขาตื่นเต้นกับกระบวนการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ และการสร้างสิ่งต่างๆ ซึ่งหมายความว่าคุณรู้สึกว่าคุณได้ลงทุนในทุกส่วนของมัน เขาเปิดกว้าง และให้สิทธิ์ในตัวละครกับคุณ และยอมให้คุณได้ลองสิ่งที่แตกต่างหลายๆ อย่าง เขาจะเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าเขาจะได้เห็นสิ่งที่เขาต้องการค่ะ”
ผู้กำกับอธิบายว่า ฟอย เชื่อมโยงกับงานสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้และตัวละครได้ง่ายแค่ไหน เธอคือคนที่เขารู้สึกว่ามีส่วนในสมการอาร์มสตรองที่ยากมากขึ้น เหมือนเธอต้องเดินทางไปร่วมภารกิจครั้งนี้กับนีลด้วย ขณะเดียวกันก็ต้องคอยรักษาผูกครอบครัวนี้ไว้ด้วยกัน “แต่เริ่มเดิมที ผมเริ่มต้นด้วยการได้ดูแคลร์ จาก The Crown เหมือนกับคนอื่นๆ แหละครับ” ชาเซลล์เล่า “นี่คือความแตกต่าง ในแง่ของบทบาท ทั้งในเรื่องของประเทศที่แตกต่าง อุณหภูมิที่แตกต่าง และยุคที่แตกต่าง เธอเข้าถึงบทนี้ในแบบที่คนที่รู้จักครอบครัวอาร์มสตรอง มาที่กองถ่าย และเกิดความรู้สึกตะลึงไปชั่วขณะเลยว่า ‘นั่นคือเจเน็ตหรือเปล่า’”
เพื่อนร่วมจอก็ประทับใจกับความสามารถของเธอเช่นกัน “ครอบครัวอาร์มสตรองต้องรักษาภาพลักษณ์ของความเป็นครอบครัวอาร์มสตรองเอาไว้ แต่แคลร์ไม่เคยใช้วิธีการทำงานในแบบที่จะเป็นตัวกำหนดความสัมพันธ์ส่วนตัวของเจเน็ตกับนีล” กอสลิงอธิบาย “เธอมักหาวิธีการใหม่ๆ ที่จะสื่อสาร แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนในชีวิตแต่งงาน และยังแสดงถึงประสบการณ์ของการเป็นคนที่ใช้ชีวิตในแบบที่ไม่เหมือนใคร มันยากที่จะจินตนาการนะครับ”
เพื่อเตรียมตัวมารับบท แพ็ต ไวต์ แฮมิลตันอธิบายว่าการได้ใช้เวลาอยู่กับหลายๆ ครอบครัวที่เป็นเจ้าของเรื่องราวที่เธอจะต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในการเล่า คือหนึ่งในแง่มุมของการเตรียมงานสร้างที่สำคัญอย่างมาก “สิ่งที่ส่งผลกระทบมากที่สุดในการเตรียมตัวของฉันก็คือตอนที่ฉันเดินทางไปที่ดัลลัส และได้พบกับ บอนนี่ ไวต์ ลูกสาวของ แพ็ต ไวต์ ค่ะ จากนั้น ฉันก็ได้พูดคุยกับ เอ๊ดดี้ จูเนียร์ ลูกชายของพวกเขา ฉันได้เรียนรู้เยอะมากจากการสัมภาษณ์ตอนนั้น แค่ได้ไปเจอ บอนนี่ มันก็มีความลึกซึ้งและทำให้เกิดความเข้าใจได้เยอะเลยค่ะ”
แฮมิลตันยังสะท้อนถึงทัศนคติของทีมผู้สร้างทั้งหมด เมื่อเธอเปิดเผยว่ามันสำคัญแค่ไหนที่จะต้องทำความรู้จักผู้รอดชีวิตเหล่านี้ “เป็นเรื่องสำคัญมากค่ะที่เราจะต้องนำเสนอความผูกพันอันใกล้ชิดแน่นแฟ้นที่ครอบครัวเหล่านี้มี ขณะที่ต้องเดินทางเคลื่อนย้ายไปยังส่วนต่างๆ ของประเทศเพื่อการฝึกซ้อม และระหว่างทำงานที่นาซ่าค่ะ” แฮมิลตันกล่าว เธอยังได้เห็นเรื่องราวมากมายในเรื่องของชายคนหนึ่งที่ถูกสาธารณชนเข้าใจผิด “คนมากมายคงจะบอกว่า นีล เป็นคนที่เข้าถึงยากและปิดกั้น แต่กับเพื่อนๆ และกับครอบครัวของเขาแล้ว เขาเป็นคนที่น่ารักมากนะคะ เราแสดงความรู้สึกของชุมชนนั้นออกมา และความอบอุ่นที่เขาแบ่งปันให้คนอื่นๆ ค่ะ”
ภารกิจเจมีนี่:
การเลือกตัวนักแสดงในบทนักบินอวกาศ
เมื่อถึงเวลาต้องเลือกตัวนักแสดงในบทนักบินอวกาศ ทางทีมผู้สร้างเน้นไปที่การค้นหานักแสดงที่สามารถเข้าถึงใจคนดูได้ ขณะที่มีหน้าตาและลักษณะคล้ายกับคนที่พวกเขารับบทแสดงด้วย “พวกเขาแต่ละคนจะต้องให้ความรู้สึกถึงความฉลาด ความแข็งแกร่ง และความสามารถ” เคลาส์เนอร์บอก “นี่คือสิ่งที่เราจะต้องนึกถึงเอาไว้กับการจะต้องปฏิบัติกับงานนี้ราวกับว่าเรากำลังดูภาพฟุตเตทสารคดีของจริงจากในบ้านของคนเหล่านี้ จากภารกิจเจมินี่และอะพอลโล่”
โครงการเจมินี่คือการฝึกภารกิจไปเยือนดวงจันทร์ของอะพอลโล่ มันมีความสำคัญในแง่ของการเตรียมนาซ่าให้พร้อมสำหรับการลงจอดบนดวงจันทร์ ทีมงานสิบคนจะต้องปฏิบัติภารกิจกับยานเจมินี่ และภารกิจเจมินี่ก็ดำเนินไปตั้งแต่เดือนมีนาคม ปี 1965 จนถึงเดือนพฤศจิกายน ปี 1966 ระหว่างโครงการเมอร์คิวรี่และอะพอลโล่
ในบรรดาจำนวนคน 9 คนที่ได้รับเลือกให้เข้าร่วมโครงการเจมินี่ ก็คือ นีล อาร์มสตรอง (ไรอัน กอสลิง), เอ๊ด ไวต์ (เจสัน คล๊าร์ก), จิม โลเวลล์ (ปาโบล ชไรเบอร์), กัส กริสซอม (เชีย วิแกม), พีท คอนราด (อีธาน เอ็มบรีย์), เอลเลียต ซี (แพทริค ฟูจิท), เดวิด สก็อตต์ (คริสโตเฟอร์ แอ็บบ็อตต์), บัซซ์ อัลดริน (คอรี่ย์ สโตลล์) และริชาร์ด เอฟ กอร์ดอน (สกายเลอร์ ไบเบิ้ล)
คล๊าร์ก รับบท เอ๊ด ไวต์ ผู้ประสบความสำเร็จกับการเป็นคนอเมริกันคนแรกที่ออกไปเดินในอวกาศในปี 1965 ระหว่างภารกิจ Gemini IV คล๊าร์กที่เหมือนชะตากำหนดให้เกิดมาเพื่อรับบทนี้ เล่าติดตลกว่า “ผมเกิดวันที่ 17 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันที่พวกเขาออกเดินทางไปดวงจันทร์ ดังนั้นพ่อกับแม่ของผมจึงมักจะล้อผมอยู่เรื่อย เพราะพ่ออยากตั้งชื่อผมว่า อาร์มสตรอง คล๊าร์ก”
เช่นเดียวกับ กอสลิง คล๊าร์กชื่นชอบบทภาพยนตร์ของ ซิงเกอร์ และพร้อมเซ็นสัญญาทันที “หลังจากได้อ่านบทของจอช เห็นได้ชัดว่านี่จะต้องเป็นภาพยนตร์ที่มีความพิเศษอย่างมาก เป็นเรื่องเกี่ยวกับความสำเร็จสูงสุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ” คล๊าร์กบอก “มันคือความรู้สึกถึงความสำเร็จ เป็นความรู้สึกถึงสิ่งที่เราสามารถทำได้ และเอ๊ดก็มีบทบาทสำคัญมากเลยครับ”
กอสลิงไม่ใช่นักแสดงเพียงคนเดียวที่โชคดีที่ได้พูดคุยกับครอบครัวของนักบินอวกาศที่ถูกนำแสดงเอาไว้ในภาพยนตร์เรื่องนี้ คล๊าร์กก็มีโอกาสได้นั่งลงเพื่อพูดคุยกับครอบครัวไวต์ ซึ่งรวมถึง เอ๊ด จูเนียร์ ลูกชายของไวต์ และ บอนนี่ ไวต์ ลูกสาวของเขา (ซึ่งตอนนี้เปลี่ยนนามสกุลเป็น บอนนี่ แบเออร์) “มีข้อมูลเกี่ยวกับเอ๊ดเยอะมากครับ” คล๊าร์ก เล่า “เขาคือคนอเมริกันคนแรกที่ออกไปเดินในอวกาศ ดังนั้นจึงมีภาพฟุตเตทถูกบันทึกไว้ ไม่ว่าจะเป็นริคและมาร์ก ไม่ว่าจะเป็นบอนนี่กับเอ๊ด จูเนียร์ หรือคนที่พาเราไปเที่ยวชมนาซ่า เรารู้สึกพิเศษมากครับ พวกเขายอมรับคุณเข้าสู่สิ่งที่มีค่าสำหรับพวกเขาอย่างมาก ผมรู้สึกโชคดีมากที่พวกเขายินดีเปิดประตูต้อนรับพวกเราครับ”
ที่ถูกดึงตัวเข้ามาเพื่อรับบท จิม โลเวลล์ หนึ่งในเก้านักบินของโครงการเจมินี่ และยังเป็นผู้บัญชาการสำรองให้กับ นีล อาร์มสตรอง ในภารกิจลงจอดบนดวงจันทร์ของอะพอลโล่ 11 ก็คือ ปาโบล ชไรเบอร์ โลเวลล์กลายเป็นชื่อที่ทุกคนคุ้นหู หลังจาก ทอม แฮงก์ส ได้แสดงเป็นเขา ในภาพยนตร์เรื่อง Apollo 13
ใน First Man เราได้เห็น โลเวลล์ ในฐานะผู้สื่อสารประจำแคปซูลระหว่างภารกิจ Gemini VIII กับเดวิด สก็อตต์ และนีล อาร์มสตรอง ชไรเบอร์รู้สึกขอบคุณต่อรายละเอียดที่ผู้กำกับของเขาได้นำมาสู่ทุกด้านของงานนี้ “หนึ่งในข้อดีของโปรเจ็กต์นี้ก็คือ ความรู้ที่ผมได้รับในโครงการทั้งหมด” ชไรเบอร์บอก “เดเมี่ยนคือหนึ่งในคนที่มีการเตรียมตัวมาดีมากและมีความเอาใจใส่สูงมากที่สุดที่ผมเคยร่วมงานมา ทันทีที่ผมเซ็นสัญญาร่วมงานด้วย เขาก็ส่งอีเมลยาวมาพร้อมกับข้อมูลการค้นคว้าทั้งหมดที่เขาทำ ซึ่งถือว่ามีค่ามากในแง่ของการเข้าถึงยุคสมัยและภารกิจเหล่านี้ครับ”
ผู้อำนวยการสร้าง ก็อดฟรีย์ อธิบายว่า กัส กริสซอม คือนักบินอวกาศที่คนส่วนใหญ่คิดว่าเป็นคนที่คอยบัญชาการ “พวกเขารู้สึกราวกับว่าเขาคือผู้นำ ในเวลานั้น ลูกเรืออะพอลโล่ 1 ถูกมองว่าคือกลุ่มนักบินอวกาศที่จะได้เดินทางไปดวงจันทร์”
ทีมผู้สร้างได้พบ กัส ของพวกเขาในตัว เชีย วิแกม “กัสเป็นคนหัวโบราณ หุนหันพลันแล่น เขาแทบจะคำรามเมื่อพูดออกมา” ก็อดฟรีย์อธิบายต่อ “เชียมีคุณสมบัติแบบนั้น และมีท่าทางวางโต เราต้องการลักษณะที่ดูถ่วงดุลกับตัวละครตัวอื่นๆ ที่เป็นคนรุ่นต่อมา”
การเติบโตมาในฟลอริด้า วิแกมอธิบายว่าเขาเลยมีความคุ้นเคยกับโครงการของนาซ่า อันที่จริง เขาสามารถมองดูการปล่อยจรวดจากใกล้ๆ บ้านของเขา “น่าแปลกที่ผมเติบโตห่างจากแหลมคานาเวอรัล 30 ไมล์ ผมมีโอกาสได้เห็นการปล่อยกระสวยอวกาศทุกครั้ง” การได้ใช้วัยเด็กเฝ้าดูการปล่อยกระสวยอวกาศ ทำให้เกิดความอยากรู้อยากเห็นในตัววิแกม “มันคือความฝันของเด็กทุกคนที่มองดูดวงจันทร์และพูดว่า ‘ฉันอยากได้ขึ้นไปบนนั้นสักครั้ง’”
ผู้รับบท พีท คอนราด ผู้ทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการยาน Gemini XI และยังเข้าร่วมโครงการอะพอลโล่ โดยเป็นผู้บัญชาการภารกิจอะพอลโล่ 12 ก่อนจะกลายมาเป็นมนุษย์คนที่ 3 ที่ได้เดินบนดวงจันทร์ ก็คือ อีธาน เอ็มบรีย์ สำหรับ เอ็มบรีย์ นี่คือครั้งแรกที่เขาต้องแสดงเป็นบุคคลที่มีตัวตนในประวัติศาสตร์ “มีหนังสือชีวประวัติที่เขียนถึง พีท คอนราด ชื่อเรื่องว่า ‘Rocketman’ ซึ่งผมได้อ่านก่อนเราจะเริ่มต้นทำงานกันประมาณสองสามเดือน” เอ็มบรีย์บอก “การที่ผมสามารถนั่งอ่านข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงยาวถึง 300 หน้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้พีทเป็นอย่างที่เห็น มันทำให้งานผมง่ายขึ้น แต่ก็น่าหวั่นเกรงขึ้นในเวลาเดียวกัน คุณรู้ว่าเขาคือใคร ดังนั้น คุณอยากทำให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้เพื่อแสดงสิ่งนั้นออกมาครับ”
แพทริค ฟูจิท อธิบายถึงบทบาทที่เขาแสดงเป็นนักบินอวกาศหนุ่ม เอลเลียต ซี ว่า “เรามีนักบินอวกาศอย่าง พีท คอนราด และเอ๊ด ไวต์ ซึ่งเป็นนักบินของโครงการอวกาศ จากนั้นก็มีนีลที่เป็นพลเรือน นีลกับเอลเลียตเป็นเพียงพลเรือนสองคนในนักบินอวกาศใหม่เก้านายที่เข้ามาทำงานกับเจมินี่ในตอนเริ่มต้น ดังนั้นพวกเขาจึงสร้างมิตรภาพที่ไม่ธรรมดาระหว่างอาร์มสตรองและเพื่อนร่วมงานของเขา”
ฟูจิทดีใจที่บทภาพยนตร์ของ ซิงเกอร์ ได้นำเสนอมิตรภาพที่แสนพิเศษนี้ ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างชายสองคนที่มีหลายอย่างมากมายเหมือนกัน เขาบอกว่า “มีการเน้นย้ำเป็นพิเศษภายในย่านที่พักอาศัยที่นักบินอวกาศเหล่านี้ใช้ชีวิตอยู่ ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน มันคือสิ่งที่ทำให้อบอุ่นหัวใจและสำคัญมากที่จะแสดงให้เห็นว่าคนเหล่านี้คอยหนุนหลังกันและกัน และมีความเป็นพี่น้อง พวกเขาเป็นเหมือนครอบครัวขนาดใหญ่ครับ”
สิ่งที่เป็นไฮไลท์สำหรับภารกิจเจมินี่ ก็คือ ภารกิจ Gemini VIII ของ เดวิด สก็อตต์ และนีล อาร์มสตรอง โดยพวกเขาเป็นพวกแรกที่เชื่อมโยงยานอวกาศสองลำเข้าด้วยกันในวงโคจรของโลก ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญต่อความสำเร็จของภารกิจร่อนลงจอดบนดวงจันทร์ในเวลาต่อมา
สำหรับคนที่มารับบท สก็อตต์ นักบินร่วมของอาร์มสตรองในฉาก Gemini VIII ทีมผู้สร้างเลือกนักแสดงชาย คริสโตเฟอร์ แอ็บบ็อตต์ เนื่องจากการทำงานผิดพลาดของยาน Gemini VIII เริ่มต้นหมุนคว้างจนควบคุมไม่อยู่ ระหว่างฉากเทียบท่า และสก็อตต์เกิดหมดสติไป อย่างไรก็ดี ต้องขอบคุณการเป็นคนคิดเร็วของอาร์มสตรอง เขาสามารถหยุดการหมุนของยาน และนำยานกลับคืนสู่โลกอย่างปลอดภัย
ก่อนที่จะมาค้นคว้าข้อมูลเพื่อแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ แอ็บบ็อตต์ยอมรับว่าเขาไม่ได้คุ้นเคยกับโครงการเจมินี่แต่อย่างใด แต่ในการค้นคว้า ทำให้เขาเข้าใจได้อย่างรวดเร็วถึงแรงดึงดูดของเหตุกาณณ์นี้ “สำหรับภารกิจ Gemini VIII ผมไม่ได้รู้เลยว่ามันสำคัญแค่ไหน จนกระทั่งผมทำการค้นคว้า ถึงได้รู้ว่า Gemini VIII ถือเป็นสิ่งที่กุมอนาคตของนาซ่าเอาไว้” แอ็บบ็อตต์กล่าว “ขณะที่มันอาจไม่ประสบความสำเร็จอย่างเต็มรูปแบบทางด้านเทคนิค ความจริงที่ว่าพวกเขาสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย และสามารถเทียบเชื่อมกับ Agena ได้ ก็ทำให้นาซ่าและนักบินอวกาศคนอื่นๆ ยังคงปฏิบัติภารกิจสู่ดวงจันทร์กันต่อมา”
โครงการอะพอลโล่:
ชีวิตหลังเจมินี่
วัตถุประสงค์ของโครงการอะพอลโล่ 11 ก็คือ การทำภารกิจแห่งชาติที่ถูกกำหนดขึ้นโดยประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี้ เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม ปี 1961 ให้สำเร็จ นั่นก็คือการนำยานลงจอดบนดวงจันทร์และกลับมายังโลก นับจากถูกปล่อยยาน จนถึงการลงจอดที่โลก ใช้เวลาในการสร้างประวัติศาสตร์ครั้งนี้เป็นเวลา 8 วัน 3 ชั่วโมง 18 นาที 35 วินาที สำหรับนักบินของอะพอลโล่ 11 ทั้งสามคน และพวกเขาก็ทำได้สำเร็จในวันที่ 20 กรกฎาคม 1969
เหล่านักบินอะพอลโล่
นักบินเจมินี่มากมายหลายคนได้ทำงานกับโครงการอะพอลโล่ ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อสำรวจดวงจันทร์ และสร้างความสำเร็จในอวกาศให้กับสหรัฐฯ ในกลุ่มนักบินอะพอลโล่ 1 ก็คือ กัส กริสซอม (วิแกม), เอ๊ด ไวต์ (คล๊าร์ก) และโรเจอร์ ชัฟฟี่ (สมิธ) น่าเศร้าที่หนึ่งในโศกนาฏกรรมที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์เที่ยวบินในอวกาศได้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 มกราคม 1967 เมื่อทีมกริสซอม, ไวต์ และชัฟฟี่ เสียชีวิตในเหตุไฟไหม้ในยานบังคับการอะพอลโล่ ระหว่างการทดสอบก่อนขึ้นบินที่แหลมคานาเวอรัล พวกเขาอยู่ระหว่างการฝึกเพื่อไฟลท์บินของอะพอลโล่ที่มีลูกเรือเป็นเที่ยวแรก โดยภารกิจโคจรรอบโลกมีกำหนดจะปล่อยตัวกระสวยอวกาศในเดือนกุมภาพันธ์ปีนั้น
ในฐานะส่วนหนึ่งของการทัวร์ศูนย์อวกาศเคนเนดี้ ทีมนักแสดงได้เห็นจุดปล่อยยานอะพอลโล่ 1 ซึ่งถือเป็นหนึ่งในช่วงเวลาสำคัญที่สุดของงานสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ “มันคือประสบการณ์ที่มืดมนมากครับ” คล๊าร์กเล่า “นาซ่า พร้อมด้วย บอนนี่ ไวต์ และเอ๊ด ไวต์ จูเนียร์ ได้พาเราเข้าไปสู่สิ่งที่มีค่าสำหรับพวกเขา สุภาพบุรุษที่เป็นคนพาเราเดินเที่ยวชมสถานที่ก็ทำงานอยู่ที่นั่นในเวลานั้นด้วย” เขาสรุปความคิดของทั้งทีมนักแสดงและทีมงานในวันนั้นว่า “ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่พวกเขาใจดีและร่วมแบ่งปันความทรงจำนี้กับพวกเรา และสำหรับนาซ่า พวกเขายินดีที่จะเปิดประตูให้กับพวกเราครับ”
ในบรรดานักบินของอะพอลโล่ 11 ผู้มีภารกิจคือการลงจอดบนดวงจันทร์ครั้งแรก ก็คือ ผู้บัญชาการ นีล อาร์มสตรอง, นักบินยานบังคับการ ไมเคิล คอลลินส์ และนักบินยานลงจอดดวงจันทร์ เอ๊ดวิน “บัซซ์” อัลดริน เพื่อเลือกนักแสดงให้มารับบทเป็นลูกเรืออะพอลโล่ 11 ทางทีมผู้สร้างเน้นไปที่นักแสดงที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายตัวจริงของนักบิน และมีความสามารถในการแสดง
“ผมชื่นชมคอรี่ย์ สโตลล์ มากครับ เขาเป็นนักแสดงที่เก่งมาก เขาดูคล้ายบัซซ์มากจริงๆ” ก็อดฟรีย์หัวเราะ “แต่บัซซ์มีคุณสมบัติที่โกรธง่าย ซึ่งอาจทำให้คนเข้าใจผิดได้ เพราะเขาเป็นคนที่แสดงอารมณ์ แต่เขาก็เป็นคนฉลาดมากจริงๆ ครับ นีลมองเห็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งในตัวเขวซึ่งนีลเชื่อว่าเขาคือคนที่สมบูรณ์แบบที่จะให้ไปอยู่ในห้องนักบินกับเขาได้ คอรี่ย์มีทั้งสองอย่างครับ เขามีความฉลาดสูง แต่เขาก็มีประกายในดวงตา ซึ่งคุณไม่แน่ใจว่าเขาคิดอะไรอยู่ และสิ่งที่เราอยากให้บัซซ์ทำก็คือ การทำให้ทุกคนหลุดจากสมดุลครับ”
“เมื่อบัซซ์เดินเข้ามาในภาพยนตร์ของเรา คุณจะได้กลุ่มเพื่อนที่ดูชิลๆ จากนั้น บัซซ์เดินเข้ามาพร้อมกับพลังงานมหาศาล และบุคลิกที่ทำให้ทุกอย่างหลุดสมดุลไป ดังนั้น เราจึงอนุญาตให้ คอรี่ย์ นำพลังแบบนั้นเข้ามาได้ครับ” ก็อดฟรีย์บอก
คนที่มารับบท ไมก์ คอลลินส์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในฐานะนักบินยานบังคับการ ก็คือ ลูคัส ฮาส ฮาสได้พูดถึงประสบการณ์ในการทำงานกับโปรเจ็กต์ทึ่เป็นโอกาสครั้งหนึ่งในชีวิตนี้ว่า “มันบ้ามากเลยครับกับสิ่งที่ผมได้เรียนรู้เยอะมาก การเดินทางในอวกาศคือเรื่องที่น่าทึ่ง และผมก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโปรเจ็กต์นี้ ผมมีฮีโร่ใหม่ๆ หลายคนหลังจากทำงานกับภาพยนตร์เรื่องนี้ และมีความเคารพต่อจุดที่มนุษยชาติยืนอยู่ในจักรวาลนี้ครับ”
ฮาส ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากหนังสือของ ไมก์ คอลลิ่นส์ เรื่อง “Carrying the Fire: An Astronaut’s Journeys” ตัดสินใจที่จะติดต่อไปหาคอลลิ่นส์ “ผมเขียนจดหมายไปหาไมก์ครับ เพราะผมชอบงานเขียนของเขามาก การได้เรียนรู้ประสบการณ์ของเขาผ่านหนังสือนั้นมันน่าประทับใจมาก แทนที่จะลองโทรศัพท์ไปคุยกับเขาหรือไปพบเขาเป็นการส่วนตัว ผมเลือกที่จะเขียนจดหมายหาเขา เขาเขียนจดหมายที่สนุกมากตอบกลับมา เกี่ยวกับว่าเขาอยากให้ มิคกี้ รูนนี่ย์ มาแสดงเป็นเขาครับ” ฮาสหัวเราะ
ฮาสต้องประหลาดใจเมื่อคอลลิ่นส์ยินดีที่จะมาที่กองถ่ายในวันสุดท้ายของการถ่ายทำ ที่เคนเนดี้ สเปซ เซ็นเตอร์ ในฟลอริด้า คอลลินส์ พร้อมด้วยบัซซ์ อัลดริน มาเยือนกองถ่าย เพื่อเฝ้าสังเกตการถ่ายทำ และในที่สุดก็ได้พบกับนักแสดงที่รับบทเป็นพวกเขา “ไมก์เป็นคนที่ดูตลกและอารมณ์ดีมาก เหมือนในงานเขียนของเขาเลยครับ การได้พบเขาในวันสุดท้ายที่เราถ่ายทำกัน คือหนึ่งในช่วงเวลาที่ลึกซึ้งที่สุดในชีวิตของผมเลยครับ” ฮาสบอก
“มันคือประสบการณ์ที่เหนือจริงมากครับ” สโตลล์กล่าวเสริม
การบัญชาการทีม
คู่ดูโอที่คอยบัญชาการชายผู้กล้าเหล่านี้ ก็คือ ผ.อ.ปฏิบัติการลูกเรือ เด๊ก สเลย์ตัน รับบทโดย ไคล แชนด์เลอร์ และบ็อบ กิลรูธ ซึ่งรับบทโดย เซียแรน ไฮนด์ส “บ็อบเป็นผ.อ.สเปซเซ็นเตอร์คนแรก และเขาก็เป็นหัวหน้าที่คอยดูแลเด๊ก” แชนด์เลอร์กล่าว “งานของเด๊กก็คือการช่วยเลือกคนที่จะมาปฏิบัติภารกิจ เพื่อสับเปลี่ยนหมุนเวียนพวกเขาโดยดูจากทักษะต่างๆ” เขาหยุดพูดชั่วครู่ “บ็อบมีคำพูดในสิ่งที่ตัวละครของผมอาจพูด และเซียแรนก็เป็นเพื่อนที่วิเศษมากครับ”
ทีมผู้อำนวยการสร้างหาคนไม่ผิดเมื่อพวกเขาต้องการนักแสดงที่แสดงอำนาจออกมาได้ “ไคลมีสถานะทั้งความเป็นพ่อและเป็นโค้ชครับ” ก็อดฟรีย์บอก เขาหัวเราะ “คุณรู้สึกราวกับว่าเขาสามารถลงโทษคุณได้ด้วย คุณต้องการผู้ชายที่โตแล้วอีกคนที่อยู่เหนือกว่านักบินอวกาศคนอื่นๆ ในแง่ของความมีอำนาจและความเป็นผู้ใหญ่ เขารู้สึกเหมือนผู้ชายที่อาศัยอยู่ในช่วงเวลานี้ เซียแรนเองก็มีคุณสมบัตินั้นจนคุณไม่อยากข้ามผ่านเขา เขาให้ความรู้สึกเป็นผู้มีอำนาจ แต่ก็ไม่ใช่พวกบ้าอำนาจครับ”
สเลย์ตันและกิลรูธ คือสองในกลุ่มเจ้าหน้าที่ที่ยอมรับว่าเมื่อภารกิจนี้ได้รับไฟเขียว ชีวิตของคนมากมายอยู่ในกำมือพวกเขา ขณะที่มีความเป็นไปได้ที่พวกเขาอาจไม่สามารถนำตัวลูกน้องกลับบ้านได้ ความเครียดที่ กิลรูธและสเลย์ตัน แบกรับไว้ ขณะอ่านคำแถลงการณ์เรื่องหายนะบนดวงจันทร์ของทำเนียบขาว มันมีมากล้น ความรับผิดชอบที่พวกเขาแบกเอาไว้มีอย่างมหาศาล
การคัดเลือกนักแสดงบทพิเศษ:
ศิลปะเลียนแบบชีวิตจริง
แคสติ้ง ไดเร็คเตอร์ผู้ดูแลการคัดเลือกนักแสดงตัวประกอบ โรส ล็อค ทำงานกับชาเซลล์ เพื่อสร้างความพอใจให้กับความต้องการความสมจริงของเขา ในทางกลับกัน เธอเลือกคนมีชื่อเสียงอย่าง คริส คอลล์ ลูกชายของศิลปินสเก็ตช์ภาพ พอล คอลล์ โดย พอล คอลล์ มีชื่อเสียงในฐานะหนึ่งในศิลปิน 8 คนแรก ที่นาซ่าได้เลือกเอาไว้ในปี 1962 เพื่อให้เป็นผู้บันทึกโครงการอวกาศอเมริกัน ตลอดเวลามากกว่า 40 ปีที่ทำงานด้านสเปซอาร์ท คอลล์ได้ทำงานกับภารกิจเจมินี่, อะพอลโล่ และสเปซ ชัตเทิล
พอล เป็นศิลปินเพียงคนเดียวที่ปรากฏตัวร่วมกับลูกเรืออะพอลโล่ 11 ได้แก่ นีล อาร์มสตรอง, บัซซ์ อัลดริน และไมเคิล คอลลิ่นส์ ในเช้าของวันที่ 16 กรกฎาคม ปี 1969 เมื่อพวกเขาเตรียมตัวขึ้นยานเพื่อเดินทางไปเยือนดวงจันทร์
ภาพที่เขาสเก็ตช์ลูกเรืออะพอลโล่ 11 ที่กำลังกินอาหารเช้า ขณะทำการบันทึกกิจกรรมในเช้าวันนั้น ถูกเก็บรักษาเอาไว้ในสมุดภาพของครอบครัวที่อยู่ในความครอบครองของ คริส คอลล์ ลูกชายของเขา คริส คอลล์ ซึ่งรับบทเป็นพ่อของเขา ได้นำสมุดเล่มนั้นไปทำงานในฉากนั้นด้วย โดยเขาจะต้องทำท่าเลียนแบบการสเก็ตช์ภาพในฉากที่เขาร่วมแสดงกับ กอสลิง, สโตลล์ และฮาส
ริค ฮูสตัน ผู้แต่งหนังสือเรื่อง “Go, Flight! The Unsung Heroes of Mission Control, 1965-1992” มารับบทบาทเป็นตัวละครตัวหนึ่งในห้องควบคุมภารกิจในฉากเที่ยวกับไฟลท์บินของ Gemini VIII ที่แสนตึงเครียด “เราเล่นเป็นบทหนึ่งในฉากควบคุมภารกิจ เมื่อเกิดความผิดพลาดกับการขึ้นบินของ Gemini VIII การได้เป็นส่วนหนึ่งของฉากนั้น และได้เห็นวิธีที่ทุกอย่างถูกจับวางเข้าด้วยกัน มันน่าตื่นเต้นมากครับ และไม่มีอะไรเหมือนกับที่ทุกคนเคยเห็นมาก่อน” ฮูสตันบอก “เซียแรน ไฮนด์ส และผม ได้พูดคุยกันเกี่ยวกับตัวละครของเขา บ็อบ กิลรูธ ไคล แชนด์เลอร์ ซึ่งรับบทเป็น เด๊ก สเลย์ตัน มีคำถามเกี่ยวกับวิธีการทำหลายสิ่งในการควบคุมภารกิจครับ”
มาร์กและริค อาร์มสตอง ไม่ใช่แค่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโปรเจ็กต์นี้ตั้งแต่แรกเริ่มเท่านั้น แต่พวกเขายังมีบทบาทอยู่ในฉากห้องควบคุมนี้ด้วย “ผมรับบทเป็นตัวละคร พอล ฮานี่ย์ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ของงานควบคุมภารกิจครับ เขาเป็นสมาชิกของสื่อที่อยู่ภายในนาซ่า และเป็นพนักงานของนาซ่าครับ” มาร์ก อาร์มสตรองบอก
ด้วยความประทับใจกับรายละเอียดที่ ชาเซลล์ ใส่ลงไปในโปรเจ็กต์นี้ ริค อาร์มสตรอง ลูกชายคนเล็กของ นีล อธิบายว่า เขารู้สึกว่าเรื่องราวของพ่ออยู่ในมือคนเก่งแล้ว “ผมรับบทเป็นผ.อ.ปฏิบัติการบินในฉากห้องควบคุมภารกิจในฉาก Gemini VIII ครับ” ริค อาร์มสตรองอธิบาย “ผมกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้ เพราะผมอยากทำหน้าที่ในส่วนของผมเพื่อดูว่ามันมีความถูกต้องมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้แล้ว” ริคบอก “แต่หลังจากได้พบ เดเมี่ยน และทีมผู้อำนวยการสร้าง กับไรอันและแคลร์ และจอช กับคนอื่นๆ ที่อยู่ในโปรเจ็กต์นี้ ผมพบว่าพวกเขาให้ความสนใจในเรื่องของความถูกต้องมากพอๆ กับผมเลยครับ”
เจ้าของบทประพันธ์ แฮนเซ่น ก็มารับบทรับเชิญด้วยการแสดงเป็น ดร.เคิร์ต เดอบัส ผ.อ.ของเคนเนดี้ สเปซ เซ็นเตอร์ ในฉากที่นักบินอวกาศของยานอะพอลโล่ 11 เดินมุ่งหน้าไปยังตัวยานเพื่อเตรียมขึ้นบิน ในฉากเดียวกันนั้น บอนนี่ แบเออร์ (บอนนี่ ไวต์) ลูกสาวของ เอ๊ด ไวต์ ก็มาร่วมแสดงในบทรับเชิญเช่นกัน
นาซ่าเปิดประตูต้อนรับ:
ค่ายฝึกนักบินอวกาศ
การค้นคว้าในเรื่องของนาซ่าและภารกิจต่างๆ ที่นำไปสู่อะพอลโล่ 11 ทำให้ชาเซลล์คุ้นเคยดีกับภารกิจต่างๆ ที่เคนเนดี้ สเปซ เซ็นเตอร์ ที่แหลมคานาเวอรัล รวมไปถึงจอห์นสัน สเปซ เซ็นเตอร์ ที่ฮูสตัน “มันเป็นประสบการณ์ที่น่าทึ่งมากเลยครับ และผมอยากแน่ใจว่าทุกคนที่รับบทเป็นนักบินอวกาศในภาพยนตร์เรื่องนี้จะได้รับประสบการณ์นี้ด้วยตัวเองครับ” ชาเซลล์กล่าว
“การฝึกเพื่อขึ้นไปในอวกาศนั้นเป็นเหตุการณ์ที่น่าตื่นตามากครับ” ก็อดฟรีย์กล่าวเสริม “นาซ่าได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างใกล้ชิด พวกเขาไม่เพียงแต่เปิดประตูต้อนรับเราเข้าสู่สถานที่ของพวกเขาเท่านั้น แต่รวมถึงคนที่อยู่ที่นั่นด้วยครับ”
สำหรับเคล้าส์เนอร์ องค์ประกอบสำคัญของนักบินอวกาศรุ่นบุกเบิกเหล่านี้ก็คือ พวกเขาใช้เวลามากมายในการฝึกและเตรียมตัวเพื่อภารกิจเหล่านี้ “หนึ่งในความท้าทายสูงสุดสำหรับนักแสดงที่ก้าวเข้ามารับบทเหล่านี้ โดยเฉพาะทีมนักแสดงที่แสดงอยู่ในภารกิจต่างๆ ก็คือความสามารถที่จะแสดงระดับความเชื่อมั่นออกมา และความสบายใจ และความรู้ที่พวกนักบินอวกาศมี โดยไม่ได้เข้ารับการฝึกในระดับเดียวกับนักบินอวกาศตัวจริง” ผู้อำนวยการสร้างเคล้าส์เนอร์บอก “นักบินอวกาศเหล่านี้บางคนคือคนที่สามารถบินโดยปิดตาได้เลยนะครับ พวกเขารู้ว่าปุ่มอะไรอยู่ตรงไหนบนแผงหน้าปัดที่มีปุ่มเป็นร้อยๆ ครับ”
การหาหนทางที่จะทำให้นักแสดงมีเวลาเตรียมตัวเพื่อเข้าถึงการค้นคว้า ได้พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญ ได้เข้าไปนั่งอยู่ในเครื่องซิมูเลเตอร์ถือว่าสำคัญอย่างมาก กอสลิง, คล๊าร์ก, ฟูจิท, เอ็มบรีย์, วิแกม, ชไรเบอร์, ฮาส และสโตลล์ ต้องไปที่จอห์นสัน สเปซ เซ็นเตอร์ในฮูสตัน รวมไปถึงที่เคนเนดี้ สเปซ เซ็นเตอร์ที่แหลมคาวาเนอรัล เพื่อฝึกฝนการเป็นนักบินอวกาศ
“สิ่งที่มีอิทธิพลที่สุดที่ถูกใส่เข้าไปในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือความกระตือรือร้นและความรักของพนักงานที่นาซ่า ที่มีให้กับโลกที่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ และโลกที่เกิดขึ้นตรงหน้าพวกเขา การไปดวงจันทร์คือช่วงเวลาที่มีอิทธิพลในประวัติศาสตร์ ผมคงต้องบอกว่าทุกคนที่เราได้พบ ต่างรู้จักเรื่องราวนี้แบบทุกเม็ดจริงๆ ครับ” คล๊าร์กบอก
ขณะไปเยือนศูนย์จอห์นสัน สเปซเซ็นเตอร์ของนาซ่า ทีมนักแสดงของ First Man ได้รับประสบการณ์ภาพเบื้องหลังของนาซ่าทั้งอดีตและอนาคต ผ่านกิจกรรมการพูดคุยและสัมผัส ทีมนักแสดงได้มุมมองของการฝึกนักบินอวกาศด้วยตัวเอง รวมถึงการควบคุมการบิน และงานวิศวกรรมที่เป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับการส่งมนุษย์ขึ้นไปบินอยู่ในอวกาศ
จากโอกาสที่ได้ออกไปอยู่ในกระสวยอวกาศโครงการดาวอังคาร ไม่เพียงแต่ทำให้เกิดความรู้สึกน่าเกรงขามเท่านั้น แต่ยังทำให้ถ้อยคำจากบทภาพยนตร์ของ ซิงเกอร์ และการถ่ายทำที่กำลังจะมาถึง ให้ความรู้สึกจริงมากขึ้นไปอีก “เราต้องฝึกในเครื่องซิมูเลเตอร์ที่แรงดึงดูดเป็นศูนย์และแรงดึงดูดแบบบนดวงจันทร์ครับ” เคล้าส์เนอร์อธิบาย “เราต้องได้เห็นว่าพวกนักบินอวกาศทำงานและใช้ชีวิตกันที่ไหน พวกเขากินอะไรบ้าง และพวกเขาฝึกซ้อมกันอย่างไร มันเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้พวกนักแสดงสามารถอินไปกับบทบาทเหล่านี้ได้ครับ”
หลังจากไปเยือนนาซ่า คล๊าร์กอธิบายว่าโครงการอวกาศไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าเข้าถึงไม่ได้อีกต่อไป ประสบการณ์นั้นทำให้มันกลายเป็นสิ่งที่จับต้องได้ “มันไม่เหมือนสถานที่ในจินตนาการสุดบรรเจิด มันเป็นสถานที่ที่เอาไว้ใช้งาน และพวกเขาก็น่ารัก ใจดี ฉลาด และอุทิศตนอย่างมาก พวกเขาแสดงให้เห็นถึงความสำคัญที่พวกเขาให้กับงานครับ”
ทีมนักแสดงยังได้เดินทางไปยังฮูสตัน ขณะที่ จอห์นสัน สเปซ เซ็นเตอร์ อยู่ระหว่างเตรียมงานนิทรรศการ “Destination Moon: The Apollo 11 Mission” ซึ่งจัดแสดงยานบังคับการอะพอลโล่ 11 ของจริงที่ชื่อว่า “โคลัมเบีย” การได้มาเห็นพื้นที่ใช้ชีวิตของลูกเรือทั้งสามนายในระหว่างภารกิจลงจอดที่ดวงจันทร์โดยมนุษย์ครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม ปี 1969 ทำให้ทีมนักแสดงรู้สึกอัศจรรย์กับประวัติศาสตร์ที่จับต้องได้นี้มาก
หนึ่งในแบบฝึกหัดที่น่าสนใจสำหรับทีมนักแสดงก็คือ การที่พวกเขาได้ใช้เวลากับเครื่องต้านแรงดึงดูด ด้วยการยืนอยู่ในเครื่องบังคับ พวกเขาสามารถจำลองความรู้สึกเมื่อไปเดินอยู่บนดวงจันทร์ได้ ชไรเบอร์หวนนึกถึงประสบการณ์ตอนที่เขาไปฝึกแบบนักบินอวกาศว่า “ตอนที่ผมรับงานนี้ มันคือหนึ่งในช่วงเวลาในชีวิตที่คุณรู้ตัวว่าคุณได้กลายเป็นนักแสดงก็เพราะเหตุผลจำเพาะ มันคือการได้เป็นเด็กไปตลอดชีวิตที่เหลือของคุณ ไอเดียที่ผมได้เล่นเป็นนักบินอวกาศ และได้ไปที่นาซ่า ทั้งที่ฮูสตันและแหลมคานาเวอรัล และได้เข้าถึงเครื่องไม้เครื่องมือในการฝึกทั้งหลาย มันคือความฝันในวัยเด็กจริงๆ ครับ”
ถึงแม้จะต้องผิดหวังที่พลาดโอกาสได้ขึ้นเครื่องมือที่เป็นตำนานที่เรียกกันว่า “ดาวหางอาเจียน” แต่ชไรเบอร์บอกว่าการฝึกแบบนักบินอวกาศก็ยังคงเป็นโอกาสครั้งเดียวในชีวิตจริงๆ “วิธีการเดียวที่คุณสามารถจำลองการต้านแรงดึงดูดได้ ก็คือการทำสิ่งที่เรียกว่าดาวหางอาเจียน โดยพวกเขาจะจับคุณเข้าไปอยู่ในเครื่องบิน และทิ้งดิ่งลงมาในอัตรา 6 วินาทีต่อครั้ง คุณจะรู้สึกถึงสภาพไร้น้ำหนักโดยแท้จริง มันเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้คุณรู้สึกได้โดยไม่ต้องออกไปในอวกาศจริงๆ เราไม่ได้ขึ้นเครื่องดาวหางอาเจียนครับ แต่การได้เข้าโครงการฝึกกับเครื่องซิมูเลเตอร์ก็ถือว่าน่าทึ่งมากแล้วครับ”
“คุณได้เห็นภาพพวกนั้นมาตลอดทั้งชีวิต ทั้งฐานปล่อยยาน และแท่นขนาดยักษ์ที่นำกระสวยอวกาศไปที่แท่นปล่อยยาน” ฮาสบอก “การได้ไปอยู่ที่นั่นและเห็นมัน และได้สัมผัสมัน มันสุดยอดจริงๆ ครับ”
สำหรับแชนด์เลอร์ แค่ได้เห็นจรวด แซ็ทเทิร์น 5 ตั้งอยู่ และได้เดินไปตามความยาว 100 เมตรของตัวจรวด ทำให้เขาเข้าใจเลยว่าคนเหล่านี้ต้องปีนเข้าไปเจออะไรบ้าง “เราได้เห็นหลายสิ่งหลายอย่างที่แตกต่างกันไปมากมาย ซึ่งทำให้คุณได้ความรู้สึกแบบได้ไปสัมผัสด้วยตัวเอง” แชนด์เลอร์กล่าว “การได้ไปอยู่ใกล้ขนาดนั้น สามารถสัมผัสสิ่งต่างๆ และได้ไปใส่ชุดนักบินอวกาศ ทำให้จินตนาการของเราในการแสดงเป็นตัวละครเหล่านี้ลงตัวเมื่อถึงเวลาที่เราอยู่ในกองถ่ายครับ”
แม้จะเคยค้นคว้าข้อมูลเพื่อแสดงภาพยนตร์เรื่องอื่นมาแล้ว แต่ สโตลล์ อธิบายว่าแบบฝึกหัดนี้แตกต่างออกไปมาก “มีหลายโปรเจ็กต์ที่การค้นคว้าคืองานหนัก แต่การค้นคว้าของภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นงานสนุกมากครับ” สโตลล์กล่าว “มีหนังสือดีๆ มากมาย รวมถึงภาพยนตร์และสารคดี จึงเป็นเรื่องสนุกมากที่ได้เจาะลึกลงไปในรายละเอียดปลีกย่อยของเทคโนโลยีและผู้คนที่เกี่ยวข้อง ผมเติบโตมาโดยรู้สึกว่าการบินไปในอวกาศมันคือความยิ่งใหญ่ แต่ตอนนี้พวกเราสามารถย้อนกลับไปในยุคที่ทุกอย่างนี้เป็นเรื่องใหม่หมด และพวกเขาต้องคิดประดิษฐ์สิ่งต่างๆ ขึ้นมาครับ”
ชาเซลล์สนับสนุนให้นักแสดงทุกคนที่รับบทเป็นนักบินอวกาศ ได้ไปสัมผัสนาซ่าด้วยตนเอง และเขายังส่งคลิปจากยูทูปของบุคคลตัวจริงที่นักแสดงแต่ละคนต้องรับบทไปให้ดูด้วย ทำให้พวกเขาได้ยินการพูดหรือการสัมภาษณ์ของบุคคลตัวจริงเหล่านี้ นอกจากนี้ ผู้กำกับยังจัดเตรียมรายชื่อของภาพยนตร์และหนังสือที่เขาได้เลือกเฟ้นเอาไว้แล้ว ส่งให้ไปด้วย
ในบรรดาหนังสือที่ ชาเซลล์ แนะนำไว้ ก็คือ “Carrying the Fire” ผลงานของ ไมก์ คอลลิ่นส์, “Deke!” ผลงานของ เด๊ก สเลย์ตัน และไมเคิล แคสซัตต์ รวมถึง “First Man” ผลงานของ เจมส์ อาร์ แฮนเซ่น ส่วนภาพยนตร์ที่ ชาเซลล์ แนะนำเอาไว้ ยังรวมถึงเรื่อง For All Mankind, Moonwalk One และ Mission Control: The Unsung Heroes of Apollo
“มันเยี่ยมมากเลยครับที่มี เดเมี่ยน คอยให้ข้อมูล เพราะคุณอาจหลงทางได้ง่ายๆ “ สโตลล์กล่าวเสริม “บัซซ์ได้เขียนหนังสือเอาไว้หลายเล่มมาก และผมก็ได้อ่านเนื้อหาหนังสือพวกนั้นเพื่อให้เข้าใจความเป็นตัวเขา เราทุกคนได้ไปที่ จอห์นสัน สเปซ เซ็นเตอร์ ในฮูสตัน ที่นั่นเต็มไปด้วยข้อมูลทางด้านเทคนิคมหาศาล รวมไปถึงเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับนักบินอวกาศ และคนที่ทำงานในห้องควบคุมภารกิจ มันช่วยได้มากที่เราสามารถมุ่งตรงไปที่ข้อมูลสำคัญในการเล่าเรื่องนี้ได้ครับ”
ข้อมูลยังคงไหลทะลักเข้ามาตลอดการถ่ายทำ เมื่อ ชาเซลล์ และทีมผู้สร้าง ได้ติดต่อที่ปรึกษาทางด้านเทคนิคให้เข้ามาช่วยในภารกิจแต่ละครั้งเพื่อทำให้มันออกมาถูกต้องมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ในบรรดาที่ปรึกษาด้านเทคนิคที่มาอยู่ในกองถ่ายก็คือ คริสเตียน เกลเซอร์ ที่เข้ามาช่วยในเรื่องของ LLTV (ยานฝึกลงจอดดวงจันทร์) เกลเซอร์ ทำงานเป็นหัวหน้าทีมนักประวัติศาสตร์แห่งเจค็อบส์ เทคโนโลยี ให้กับศูนย์นาซา อาร์มสตรอง ไฟลท์ รีเซิร์ช เซ็นเตอร์ และ โจ อิงเกิล ที่ถูกดึงเข้ามาเพื่อช่วยงานในส่วนของยาน X-15 อิงเกิลเคยทำงานในกองทัพอากาศสหรัฐฯ และเป็นหนึ่งใน 12 นักบินทดสอบของเครื่อง X-15 ในช่วงเดียวกับ นีล อาร์มสตรอง
แฟรงก์ ฮิวจ์ส ซึ่งเกษียณงานหลังจากได้รับตำแหน่งหัวหน้าหน่วยฝึกการบินอวกาศของนาซ่า เข้ามาช่วยเหลือการฝึกนักบินอวกาศ และในส่วนของห้องควบคุมภารกิจ รวมไปถึงงานที่เกี่ยวข้องกับเจมินี่และอะพอลโล่ ฮิวจ์สเคยเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องคอมพิวเตอร์และเครื่องนำทางและระบบควบคุมระหว่างการฝึกอะพอลโล่ และเขายังได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับเหล่านักบินของอะพอลโล่ 11 ด้วย
อัล รอชฟอร์ด และรอน วู้ดส์ เข้ามาช่วยในฐานะช่างเทคนิคชุดอวกาศ วู้ดส์เคยทำงานกับชุดฝึกและการฝึกก่อนบินของอะพอลโล่ 11 โดยเขาคอยดูแลชุดให้กับ ไมก์ คอลลิ่นส์ ขณะที่ รอชฟอร์ด ทำหน้าที่แบบเดียวกันโดยดูแลชุดให้กับ จอห์น เกลนน์ ในภารกิจอวกาศ Mercury-Atlas 6 Earth อัล วอร์เดน ซึ่งเคยเป็นนักบินยานบังคับการให้กับโครงการอะพอลโล่ 15 (หน้าที่เดียวกับ ไมก์ คอลลิ่นส์) เข้ามาช่วยเหลือในงานส่วนอะพอลโล่ 11 คนสุดท้าย เจมส์ บิลบรีย์ ช่างภาพวิดีโอและบรรณาธิการของนาซ่า/ มาร์แชลล์ สเปซ เซ็นเตอร์ เข้ามาช่วยเหลือในการค้นหาภาพฟุตเตท
ที่ปรึกษาทั้งหมดจะสื่อสารกับชาเซลล์ และทีมผู้อำนวยการสร้างตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมงานสร้าง และมาอยู่ที่กองถ่ายด้วยระหว่างการถ่ายทำฉากต่างๆ ที่เกี่ยวพันกับความเชี่ยวชาญของพวกเขา “มันน่าทึ่งมากเลยครับ คนที่เราได้พบ นักบินอวกาศหลายคน ทั้งข้อมูล เรื่องราวส่วนตัวจากคนที่เคยอยู่ที่นั่นในวันนั้น นี่คือสิ่งที่คุณไม่สามารถคิดขึ้นเองในหัวได้ เพราะคุณอาจหลุดไปจากความจริงขณะทำงาน” แชนด์เลอร์บอก
การบินสู่อวกาศ:
การออกแบบยานและแคปซูล
โปรดักชั่น ดีไซเนอร์ นาธาน โครว์ลี่ย์ ยอมรับว่ามีความเป็นจริงที่เขาอยากมุ่งเน้นไปในงานของเขา “ผมจะผลักดันเพื่อทำสิ่งต่างๆ ให้ออกมาจริงครับ” โครว์ลี่ย์สรุป “ตัวอย่างเช่น เราใช้แบบจำลองในภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมพยายามที่จะไม่คิดสร้างอะไรขึ้นใหม่ เราแค่ใช้วิธีการเดิมๆ กับเทคโนโลยีสมัยใหม่เท่านั้นครับ”
ตอนได้พบกันครั้งแรก โครว์ลี่ย์และชาเซลล์เหมือนมีความเห็นในเรื่องการออกแบบที่คลิ๊กตรงกัน “นาทีที่ เดเมี่ยน บอกว่าเขาอยากถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ต่อหน้ากล้องเท่านั้น ผมก็เอาด้วยเลยครับ” โครว์ลี่ย์เล่า “ผมชอบวัตถุที่จับต้องได้และเขาก็อยากถ่ายทำต่อหน้ากล้อง นั่นเป็นงานยากจริงๆ นะครับ แต่ก็เป็นความท้าทายที่สนุก เป็นสิ่งที่เราทั้งคู่ยินดีจะเหนื่อยครับ”
สำหรับชาเซลล์ เป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องแสดงให้เห็นถึงอันตรายของยุคบุกเบิกสู่การเดินทางสู่อวกาศ เช่นเดียวกับที่ โครว์ลี่ย์ ได้อธิบายเอาไว้ว่าเป็นการอยู่ “ในกระป๋องตะกั่วที่ลุกติดไฟได้” เขาไม่สนใจที่จะแสดงให้เห็นถึงเสน่ห์ของนาซ่า มากเท่าการเดินทางไปถึงดวงจันทร์ที่แสนยากลำบาก โครว์ลี่ย์บอกว่า “คนเหล่านี้มีความรู้เยอะมากครับ แต่ก็มีเรื่องที่พวกเขาไม่รู้อีกมาก พวกเขาเป็นนักสำรวจ และความจริงที่ว่าพวกเขาจะต้องใช้เวลานานหลายวันอยู่ในสภาพแวดล้อมที่คับแคบแบบนี้ มันทำให้ผมสนใจครับ”
เมื่อได้พูดคุยกันครั้งแรกในระหว่างเตรียมงานสร้าง ชาเซลล์เสนอว่าเขาอยากนำเสนอเรื่องของอาการกลัวที่แคบไปพร้อมๆ กับความกว้างใหญ่ไพศาลของอวกาศ การใช้แหล่งข้อมูลของนาซ่าถือเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้งานออกแบบฉากออกมาถูกต้องมากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ “นาซ่าเปิดประตูต้อนรับพวกเราครับ” โครว์ลี่ย์บอก “ผมเดินทางไปเคนเนดี้ ในฟลอริด้า และได้วิเคราะห์ลูนาร์แลนเดอร์อย่างใกล้ชิด รวมไปถึงแคปซูลเจมินี่ และเราก็ไปที่ฮูสตัน เพื่อดูรายละเอียดของยาน LLTV เราได้ศึกษาคู่มือทั้งหมด และรายละเอียดอื่นๆ ที่เราหาได้ ซึ่งทำให้เราสร้างฉากที่ให้ความรู้สึกราวกับเข้าไปติดอยู่ในยานเหล่านี้ขึ้นมาได้ครับ”
“ผมใช้คำว่า ติด เพราะว่ามันเล็กมากครับ แคปซูลพวกนี้เหมือนกระป๋องปลาเลยครับ” โครว์ลี่ย์กล่าวเสริม “เป้าหมายของนาซ่าก็คือ การพัฒนาแคปซูลและภารกิจของพวกเขา ดังนั้น มันจึงไม่ใช่แค่พิมพ์เขียวของทุกคำตอบที่พวกเขาพัฒนาไปเท่านั้น หนทางที่ดีที่สุดที่จะเข้าใจงานออกแบบพวกนั้นก็คือการไปยืนอยู่ข้างๆ มัน กับคนที่เคยบินไปกับมัน หรือเคยฝึกในนั้นครับ”
การตามล่าหาความเหมือนจริงของชาเซลล์ นำพวกเขาไปสู่การวิเคราะห์แผนภาพและเครื่องมือบนแผงควบคุม นอกเหนือจากเหล่าเพื่อนร่วมงานที่นาซ่า มีหลายครั้งด้วยกันที่โครว์ลี่ย์และผู้กำกับ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนักสืบที่ออกตามหาร่องรอยของปริศนาแต่ละชิ้น
ผู้กำกับหลายคนอาจต้องยอมเสียสละความสมบูรณ์ของยานอวกาศไปด้วยการเปลี่ยนขนาดของชิ้นงาน เพื่อสนองตอบต่อความจำเป็นของการถ่ายทำ หรือทำให้นักแสดงรู้สึกสบายตัวเมื่ออยู่ในฉากนั้นๆ มากขึ้น แต่นี่ไม่ใช่ความตั้งใจของชาเซลล์ แฟรงก์ ฮิวจ์ส ครูฝึกของเจมินี่และอะพอลโล่ พูดคุยถึงเรื่องที่ว่าสิ่งนั้นเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ภายใต้การดูแลของเขา และเขารู้สึกประทับใจกับสิ่งที่เห็นอย่างมาก “ผมนำเอาห้องสมุดของผมเองที่เราเคยใช้ในเวลานั้นมาด้วย มีทั้งรายการเช็คลิสต์และหนังสือที่บอกว่าเราทำงานตอนนั้นได้อย่างไรครับ”
“พวกเขาทำสิ่งเหล่านั้นได้ถูกต้อง! ผมมาที่นี่พร้อมกับขุมทรัพย์ของผม และพวกเขาก็ทำทุกอย่างเอาไว้แล้ว ให้ตายเถอะ พวกเขาทำได้ถูก มีแค่รายละเอียดเล็กๆ ที่ผมต้องแนะนำให้ทำการเปลี่ยนแปลง การไปอยู่ในศูนย์ควบคุม ให้ความรู้สึกเหมือนผมได้กลับไปบ้านในฮูสตัน จากนั้น ในยานอวกาศ คุณถูกรายล้อมด้วยสิ่งนี้ ทุกอย่างถูกทำออกมาดีมากจริงๆ ครับ”
เพราะยึดมั่นกับทุกรายละเอียด โครว์ลี่ย์เชื่อว่าผู้สร้างไม่ควรทำให้ยานมีขนาดใหญ่เกินของจริงเกินกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ สำหรับเจมินี่ ทีมของเขาพยายามสร้างฉากให้เท่ากับขนาดของจริง แต่มันก็ก่อปัญหาให้กับงานกล้อง ทางออกก็คือ การแยกฉากออกเป็นส่วนๆ อันที่จริง พวกเขาต้องแยกที่นั่งออกครึ่งหนึ่ง เพื่อให้กล้องสามารถเข้าไปอยู่ในแคปซูลกับนักแสดงได้
แต่ก็เป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องปรับเปลี่ยนเล็กน้อยเพื่อนักแสดง เพราะมีนักแสดงบางคนมีส่วนสูงมากกว่านักบินอวกาศที่พวกเขาสวมบทบาทแสดงอยู่ “สำหรับอะพอลโล่ 11 เราสร้างขนาดเกินของจริงไปแค่ 5 เปอร์เซ็นต์ จากนั้น กับเครื่อง X-14 เราสร้างขนาดเท่าของจริงครับ” โครว์ลี่ย์อธิบาย “แต่เราต้องลดระดับที่นั่งให้ต่ำลง เพราะไรอันสูงกว่านีล จนหมวกของเขาอยู่ชิดกับเพดานมากเกินไป”
ไม่ใช่แค่การสร้างที่ต้องใช้กลเม็ด “ยังมีเรื่องของการขนส่งที่ต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับการสร้างสิ่งเหล่านี้ด้วย” โครว์ลี่ย์อธิบายเสริม “ตัวอย่างเช่น ความท้าทายกับยาน Lunar Landing Module ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาเท่ากับขนาดของจริง แต่หลังจากนั้น เราก็ต้องคิดหาวิธีว่าจะขนมันไปยังโลเกชั่น เรายังต้องทำให้มันต้านลมและหิมะได้ เพราะกับดวงจันทร์ของเรา เราเจอหิมะเข้าให้ครับ”
สะท้อนดวงอาทิตย์:
การสร้างและถ่ายทำดวงจันทร์
ถึงแม้จะคุ้นเคยดีกับการสร้างฉากอวกาศ หลังจากที่ได้ทำงานกับภาพยนตร์หลายเรื่อง อาทิเช่น ภาพยนตร์ของ คริส โนแลน เรื่อง Interstellar โครว์ลี่ย์อธิบายเมื่อเขาพูดถึงความท้าทายในการออกแบบที่ยากที่สุด “นี่คือครั้งแรกที่ผมไปดวงจันทร์ครับ” โครว์ลี่ย์บอก “เมื่อตอนที่ผมอ่านบทภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมรู้ดีว่ามันต้องเป็นงานท้าทายแน่ แต่ผมก็ทำทั้งยาน X-15, Gemini, Apollo และการร่อนลงจอดบนดวงจันทร์ เรามีภารกิจทั้งหมดนี้ที่ต้องทำ ซึ่งผมก็คิดแบบซื่อๆ ว่า ‘ฉันจัดการได้อยู่แล้ว’ จากนั้น เราต้องสร้างบรรยากาศของย่านพักอาศัย และนาซ่า และฮูสตัน และชีวิตที่นาซ่า เราต้องเชื่อมโยงทั้งหมดนี้เข้าด้วยกัน แต่มันคือสิ่งที่ผมรู้ว่าเราสามารถจัดการได้ครับ”
“แต่ดวงจันทร์คือสิ่งที่ผมพยายามเก็บเอาไว้นานมาก เพราะมันคือความท้าทายที่จะต้องคิดให้ออกว่าเราจะสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาอย่างไร” โครว์ลี่ย์กล่าวต่อ “ผมไม่มีคำตอบในทันที แต่ผมรู้ว่าเราต้องใช้เหมืองหินหรือซีเมนต์ และต้องมีที่กว้างมากพอที่ทำให้เราสามารถสร้างขนาดอันยิ่งใหญ่ของดวงจันทร์ได้ ผมรู้ว่าเหมืองหินน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่การจะสร้างพื้นผิวให้เหมือนผิวของดวงจันทร์ เราต้องใช้เหมืองหินสีเทา ซึ่งหายากมากครับ”
บางครั้ง สถานที่แห่งหนึ่งก็สามารถเปลี่ยนปัญหาของคุณได้ โครว์ลี่ย์หัวเราะ “เราโชคดีที่บังเอิญที่แอตแลนต้ามีเหมืองหินสีเทาครับ และด้วยมิตรภาพในวงการที่นี่ เราพบดวงจันทร์ของเราที่ วัลแคน ร็อค ควอร์รี่ ในสต็อคบริดจ์ ซึ่งอยู่ทางใต้ของเมืองนั้น พวกเขายอมให้เราเข้าไปจัดการตกแต่งพื้นที่ได้ตามที่เราต้องการครับ”
สำหรับชาเซลล์ การค้นหาพื้นที่ดวงจันทร์ที่เหมาะเจาะคืองานที่สร้างความเหนื่อยยาก “เรามีไอเดียว่าแทนที่จะไปถ่ายทำฉากดวงจันทร์กันในโรงถ่าย เราจะถ่ายทำกันกลางแจ้งในเวลากลางคืน ซึ่งจะทำให้เราสามารถสร้างแสงอาทิตย์จากดวงไฟขนาดใหญ่ได้ ดังนั้นเราจึงเริ่มต้นค้นหาสถานที่กลางแจ้งที่เป็นไปได้ทั้งในและรอบๆ แอตแลนต้า เราใช้เวลาอยู่พักใหญ่ในการค้นหาเหมืองหินแห่งนี้ เราไปดูเหมืองหินหลายแห่งซึ่งบางที่ใหญ่ไม่พอ หรือบางทีก็มีพื้นผิวแบนเรียบยาวไม่พอ แต่เราก็เจอเหมืองหินนี้เข้า และเราสามารถปรับแต่งพื้นผิวได้ด้วยครับ”
เพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่ให้อารมณ์ ชาเซลล์ได้ร่วมมือกับผู้กำกับภาพ ไลนัส แซนด์เกรน และพวกเขาพบว่าการจัดแสงให้กับดวงจันทร์ที่มีพื้นที่มหาศาลคืองานที่ท้าทายอย่างมาก “นาธานออกแบบฉากกลางแจ้งของดวงจันทร์ในเหมืองหินขนาดใหญ่ และฉากก็มีขนาดมหึมามากครับ” แซนด์เกรนอธิบาย “มันใหญ่กว่าฉากดวงจันทร์ทุกฉากที่เคยใช้ในการถ่ายทำ เพราะอย่างนั้น เราจึงต้องจัดแสงมันทั้งหมด การจะทำเช่นนั้นได้ เราต้องใช้แสงเยอะมากครับ แต่เราไม่อยากใช้ดวงไฟเยอะมาก เพราะคุณอยากมีแหล่งให้แสงแหล่งเดียวแบบดวงอาทิตย์ ทำให้มีเงาเพียงเงาเดียว ทำให้เราพบความท้าทายที่จะลองสร้างแหล่งแสงที่แข็งแกร่งซึ่งเป็นแหล่งแสงเดียวเท่านั้น”
ทางออกหนึ่งเดียว นั่นก็คือการค้นหาแหล่งกำเนิดแสงที่แรงที่สุดบนโลกนี้ “เราคุยกับ เดวิด พรินเกิ้ล ซึ่งทำแสงไฟ 100 เค ซอฟต์ซัน” แซนด์เกรนเล่า “เราถามเขาว่าเขาพอจะช่วยเราพัฒนาดวงไฟขนาด 200,000 วัตต์ได้ไหม ซึ่งเขาทำได้ครับ ดวงไฟขนาด 200,000 วัตต์นี้มากพอที่เราจะถ่ายทำฉากอวกาศขนาดใหญ่นี้ครับ”
ความกว้างใหญ่ของอวกาศมีความขัดแย้งกับพื้นที่คับแคบที่ชายเหล่านี้จะต้องเข้าไปอยู่ “อะพอลโล่ 11 มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 11 ฟุต และชายสามคนจะต้องเข้าไปอยู่ในนั้นตลอดหนึ่งอาทิตย์” ผู้อำนวยการสร้างบริหาร เมอริมส์ บอก “ทำให้เกิดอาการกลัวที่แคบ และมีพื้นที่คับแคบอย่างมาก เดเมี่ยนอยากจำลองภาพให้เห็นว่าการเดินทางครั้งนั้นมันลำบากแค่ไหน เมื่อ บัซซ์และนีล นำยานลงจอดบนดวงจันทร์ และดวงจันทร์ก็เวิ้งว้างมาก มันคือความขัดแย้งอย่างมาก เมื่อคนสองคนเดินออกไปเหยียบดวงจันทร์ เราเปลี่ยนไปเป็น IMAX, 65 ม.ม. ซึ่งเป็นขนาดฟิล์มที่ใหญ่ที่สุดที่มีแล้ว ทำให้คนดูรู้สึกได้และเหมือนได้ไปอยู่ที่นั่นกับพวกเขาครับ”
แซนด์เกรนเปรียบเทียบการมองดูดวงจันทร์ระยะใกล้แบบนี้เหมือนกับ “การมองดูดินแดนของคนตายครับ มันเป็นสิ่งที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน” เขาหยุดพูด ก่อนจะอธิบายต่อไปว่ามันส่งผลต่อการตัดสินใจของเขาในฐานะผู้กำกับภาพอย่างไร “มันคือสิ่งที่เหมือนเกินไปกว่าโลกจริงๆ ใบนี้ครับ เพราะเช่นนั้น เราคิดว่าถ้าคุณถ่ายฉากระยะใกล้ด้วยกล้อง 16 ม.ม. จากนั้น คุณก็ออกมาเหยียบดวงจันทร์ และภาพดวงจันทร์ทั้งหมดเป็นฟอร์แม็ตของไอแม็กซ์ มันจะทำให้เห็นรายละเอียดมากกว่าครับ”
ผู้อำนวยการสร้างโบเว่นพอใจต่อการเปลี่ยนรูปแบบนี้มาก “ตอนที่ นีล อาร์มสตอง ขึ้นไปในยานอะพอลโล่ คุณจะเห็นภาพนั้นในรูปแบบของ 16 ม.ม. คุณเห็นขณะที่มันสั่น หวังว่าคุณคงรู้สึกว่าการอยู่ที่นั่นมันเป็นยังไง ถ้าคุณนำเสนอประสบการณ์นี้ ในที่สุด เรื่องที่ยอดเยี่ยมเรื่องนี้ก็ถูกบอกออกมาครับ”
น่าสนใจอย่างมากที่เลนส์ที่ผู้กำกับภาพและชาเซลล์เลือกใช้ในฉากดวงจันทร์ คือเลนส์แบบเดียวกันกับที่ อาร์มสตรองและอัลดริน เคยใช้บนดวงจันทร์เมื่อตอนที่พวกเขาถ่ายภาพนิ่งที่มีชื่อเสียงเหล่านั้น แซนด์เกรนกล่าวว่า “พวกเขาถ่ายโดยใช้กล้อง Hasselblad และฟิล์ม 6 คูณ 6 เซนติเมตร นั่นคือฟิล์มที่เราใช้ในการถ่ายทำดวงจันทร์ครับ”
เพื่อสร้างฉากการลงจอดบนดวงจันทร์อันโด่งดัง ทีมงานของแซนด์เกรนพิจารณาภาพถ่ายที่ทีมของนีล อาร์มสตรองถ่ายกันบนดวงจันทร์ จากนั้นพวกเขาก็ทำการจำลองภาพถ่ายจริงขึ้นมา พวกเขาพิจารณาถึงความสูงของมุมของดวงอาทิตย์ ตัวอย่างเช่น ถ้าดวงอาทิตย์ทำมุมกับโลเกชั่นแห่งหนึ่งที่ 15 องศาในชอตภาพของจริง พวกเขาก็จะทำให้แน่ใจว่าความยาวของเงาจะต้องถูกทำออกมาให้เหมือนกัน
ทีมผู้สร้างถ่ายทำฉากดวงจันทร์กันในช่วงสองสามอาทิตย์สุดท้ายของการถ่ายทำในช่วงกลางเดือนมกราคม ซึ่งการถ่ายทำส่วนใหญ่เสร็จสิ้นไปแล้ว “ขณะถ่ายฉากดวงจันทร์ เราใกล้จะเสร็จสิ้นการถ่ายทำแล้ว ตอนเรามาที่นี่ เรารู้สึกในแบบที่ตัวละครของเรารู้สึก โดยรู้หมดทุกเรื่องที่นำมาถึงจุดนี้แล้วครับ” ชาเซลล์บอก
เมื่อพูดถึงการถ่ายทอดก้าวแรกที่แสนโด่งดังบนดวงจันทร์ ผู้กำกับบอกว่า “เราพยายามที่จะทำทุกอย่างให้ออกมาเหมือนจริงที่สุดครับ ทำให้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ถูกต้อง รายละเอียดเล็กๆ ที่ทำให้ภาพฟุตเตทต้นฉบับดูน่าตื่นเต้นและน่าประทับใจ แต่เราก็พยายามเน้นย้ำว่ามันคือช่วงเวลาพิเศษในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย เราไม่ได้แค่ต้องการสร้างฉากเลียนแบบของจริงขึ้นมาเท่านั้น แต่หวังว่าจะเติมเต็มมันด้วยอารมณ์ที่ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างขึ้นมาครับ”
สำหรับก็อดฟรีย์ ทุกอย่างเป็นเรื่องของการสร้างการเดินทางที่เต็มไปด้วยอารมณ์ ดังนั้น ความสำเร็จในการนำยานลงจอดบนดวงจันทร์จึงกลายมาเป็นการปลดปล่อยอารมณ์ไม่ใช่แค่สำหรับตัวละครเท่านั้น แต่รวมถึงคนดูด้วย “คุณอยากสร้างความกระวนกระวายและความตึงเครียด อันตรายที่เราไม่รู้ว่านีลและนักบินอวกาศคนอื่นๆ ต้องเผชิญ” ก็อดฟรีย์บอก “นับแต่วินาทีที่ยานลงแตะพื้น มันคือการปลดปล่อยความเครียดครับ”
นี่ไม่ใช่แค่การปลดปล่อยความเครียดให้กับคนดูเท่านั้น แต่ยังเป็นการปลดปล่อยความเครียดให้กับนักแสดงที่รับบทเป็นชายที่ย่างก้าวไปบนดวงจันทร์ด้วย กอสลิงอธิบายว่า “เราเตรียมการ เพื่อให้ผมสามารถได้ยินเสียงบันทึกต้นฉบับระหว่างนีล, บัซซ์ และศูนย์ควบคุมภารกิจ ขณะที่ผมเดินเหยียบไปบนดวงจันทร์เป็นครั้งแรก มันดูเป็นประสบการณ์ที่เหนือจริงมากในวินาทีนั้นในแบบที่นีลเองก็อาจจะรู้สึก และองค์ประกอบที่น่าตื่นเต้นสำหรับสไตล์ที่ฉากนั้นถ่ายทำออกมาจากมุมมองของเขา ก็คือ คนดูจะได้สัมผัสประสบการณ์ครั้งนั้นในแบบที่นีลอาจเคยสัมผัสมาครับ”
การถ่ายทำฉากดวงจันทร์ในช่วงระหว่างกลางเดือนมกราคมในจอร์เจีย คือการเดิมพันกับสภาพอากาศ และกลายเป็นว่าอุณหภูมิในการถ่ายทำฉากดวงจันทร์หลายต่อหลายคืนอยู่ในระดับต่ำกว่า 17 องศาฟาเรนไฮน์ “บนดวงจันทร์ของเราอากาศหนาวเย็นมาก” ชาเซลล์บอก “พระจันทร์ของจริงอากาศจะแตกต่างกันแบบร้อนมากและหนาวมาก ดังนัน การมีสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยแบบนี้ก็ถือว่าเหมาะสมดีครับ”
“ความท้าทายในเรื่องของธรรมชาติที่เราเจอ ก็คือจู่ๆ มันก็เริ่มมีหิมะตกครับ เราต้องหยุดพักการถ่ายทำกันไป และย้ายกลับไปถ่ายทำกันที่โรงถ่ายอยู่สองสามวัน แต่พอเรากลับมา อากาศก็ดีมากครับ ไม่มีลมแรง ถึงขนาดธงยังนิ่งเลยครับ” แซนด์เกรนหัวเราะ “เหมือนการถ่ายทำจริงบนดวงจันทร์เลย”
กลับไปฮูสตัน:
ศูนย์ควบคุมภารกิจ
การที่สามารถได้เห็นห้องควบคุมภารกิจก่อนการถ่ายทำ ทำให้เหล่านักแสดงที่รับบทเป็นนักบินอวกาศ ได้เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับสิ่งที่คาดหวังว่าจะเจอตอนถ่ายทำ พวกเขาได้เรียนรู้พิธีการภายในห้องที่ถ้อยคำอันโด่งดังอย่าง “อินทรีลงแตะพื้นแล้ว” สะท้อนผ่านกำแพงห้อง
หนึ่งในแฟนพันธุ์แท้ของทีมออกแบบของภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็คือ แฟรงก์ ฮิวจ์ส ที่ปรึกษาผู้มองเห็นห้องนี้อยู่ตลอดเวลาระหว่างภารกิจการขึ้นบินของอะพอลโล่ 11 “ฉากห้องควบคุมมันมหัศจรรย์มากครับ มันถูกสร้างขึ้นเหมือนกับที่เคยเป็นห้องจริงในฮูสตัน, เท็กซัส และมันสุดยอดมากครับ” ฮิวจ์สบอก
“เราเคยได้เห็นห้องควบคุมในแบบที่มันเป็นในตอนนั้น และตอนนี้ เราก็ได้เห็นห้องควบคุมนั้นซึ่งสามารถใช้งานได้ คุณเข้าไปที่นั่น และเห็นสถานีอวกาศโคจรอยู่รอบโลก และพวกเขาก็พูดขณะที่คุณยืนอยู่ตรงนั้น มันน่าทึ่งมากครับ” ฮาสบอก
“สำหรับห้องนี้ สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของผมตอนผมมาเยือนในช่วงฤดูร้อนของปี 2012 ผมทึ่งกับประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นที่นั่น แต่เมื่อผมเดินเข้าไป แผงควบคุมทั้งหมดใช้งานไม่ได้แล้ว ไม่มีไฟฟ้า มันจึงมืดไปหมด พรมก็สกปรก มันเลยดูน่ากลัวมากครับ” ริค ฮูสตัน ผู้เชี่ยวชาญและผู้เขียนหนังสือบอก “ดังนั้นตอนที่ผมเดินเข้าไปในฉากนั้นในวันแรกที่มีการซ้อมบทกัน มันเป็นวินาทีที่ได้อารมณ์มากเลยครับ ผมไม่เคยเห็นห้องควบคุมแบบนี้มาก่อน จนผมต้องใช้เวลาในการตั้งสติ และบอกตัวเองให้รู้ว่านี่ไม่ใช่ห้องควบคุมของจริงนะ ผมมองไปรอบๆ และเริ่มสังเกตดูสิ่งต่างๆ ตรงนี้บ้าง ตรงนั้นบ้าง ซึ่งมันถูกต้องทุกอย่างครับ ผมประทับใจกับระยะเวลาอันยาวนานที่พวกเขาใช้ในการสร้างให้มันถูกต้องตามประวัติศาสตร์ครับ”
สำหรับฮูสตัน ความใส่ใจในรายละเอียดต่อฉากของ ชาเซลล์ สำคัญมากกว่าที่คุณคิด ทางผู้กำกับและทีมงานของเขากำลังให้เกียรติต่อการเสียสละของบรรดาบุคคลที่อยู่ในพื้นที่นั้น ซึ่งมีความตั้งใจที่จะทำให้นักบินอวกาศเหล่านี้ปลอดภัยให้ได้
ฮูสตันได้เล่าถึงการค้นพบของเขาเกี่ยวกับห้องควบคุมว่า “สิ่งที่สร้างความประทับใจให้กับผมมากที่สุดเกี่ยวกับคนที่ทำงานอยู่ในห้องควบคุม ก็คือ ความอุทิศตนให้กับภารกิจที่ต้องมาเป็นอย่างแรกครับ เป้าหมายอันดับหนึ่งของพวกเขาก็คือ การนำตัวนักบินอวกาศพวกนั้นกลับมาบ้านได้อย่างปลอดภัย” ฮูสตันยังกล่าวอีกว่า หลายคนอาจต้องประหลาดใจเมื่อพบว่า “พวกเขามีความหยิ่งทะนงที่ไม่ใช่การยกตนเป็นใหญ่ มันหมายความว่าพวกเขามีความเชื่อมั่นในตนเอง ว่าจะสามารถทำให้งานนี้สำเร็จได้ และเพื่อพานักบินอวกาศพวกนี้กลับบ้าน พวกเขาสามารถทำเช่นนั้นได้ในกรณีของ Gemini VIII และ Apollo 11”
“หนึ่งในช่างเทคนิคของนาซ่าเคยบอกผมว่าตอนที่เขาเดินเข้าไปในฉากห้องควบคุมนั้น มันเหมือนดึงความทรงจำทุกอย่างกลับมาหมด เขาเหมือนโดนความทรงจำท่วมท้น นั่นคือคำชมที่ดีที่สุดที่คุณจะได้รับแล้วครับ” โครว์ลี่ย์กล่าว
หมุน, เอียง และหัน:
เครื่องมือการฝึก
มีหลายต่อหลายฉากที่ โครว์ลี่ย์และทีมของเขาต้องสร้างขึ้น อาทิเช่น ยาน Lunar Landing Training Vehicle (LLTV) และเครื่องฝึก Multi-Axis Trainer “LLTV คือเครื่องจักรประเภทที่ถ้าเป็นยุคสมัยนี้เราคงไม่ยอมปล่อยให้คนเสี่ยงเข้าไปข้างในแน่ครับ” โครว์ลี่ย์อธิบาย “ตอน นีล รู้ว่าเขาจะต้องเป็นคนนำยานลงจอดบนดวงจันทร์ หนทางเดียวที่เขาจะฝึกได้ก็คือการเข้าไปในระบบกลไกทดสอบที่น่าหัวเราะนี้ เขาเกือบดีดตัวออกมาไม่ทันก่อนเครื่องตก จากนั้นเขาก็กลับไป และทำมันอีกตั้งหลายรอบ เพราะมันคือการฝึกวิธีเดียวครับ”
ทีมของชาเซลล์สามารถจำลองสร้าง LLTV และเครื่องฝึก multi-axis trainer ซึ่งต้องขอบคุณการช่วยเหลือจากนาซ่าและรูปถ่ายจากหอจดหมายเหตุ ในฮูสตัน พวกเขามีโอกาสได้เข้าไปดูเครื่อง LLTV อย่างละเอียด และสามารถนำเอาสิ่งที่พวกเขาเห็นกลับมาที่ชอป และสร้างเครื่องมือพวกนี้ขึ้นมาใหม่
“ตอนเรารู้ว่าพวกเขาอยากทำเครื่องฝึก multi-axis trainer ผมรู้เลยว่ามันจะต้องเป็นงานท้าทายสุดๆ แน่ มันไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะสร้างกันได้นะครับ” เจดี ชวาล์ม สเปเชียล เอฟเฟ็กต์ ซูเปอร์ไวเซอร์ บอก
ถึงแม้จะมีการเลิกใช้เครื่องฝึก multi-axis trainer หลังจากโครงการ เมอร์คิวรี่ แต่ทางทีมผู้สร้างก็เลือกที่จะใส่มันลงไปในภาพยนตร์เรื่อง First Man เพื่อแสดงให้เห็นถึงการฝึกที่แสนลำบากที่นักบินอวกาศเหล่านี้ต้องเจอ “มันเป็นเครื่องมือที่ซับซ้อนมากๆ ที่ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นอีกเลยตั้งแต่ยุค ’60s และไม่มีใครรู้ด้วยว่ามันทำงานยังไง” ชวาล์มบอก “เราย้อนงานวิศวกรรมจากรูปถ่ายครับ มันคือหนึ่งในสิ่งที่ท้าทายที่สุด และสนุกที่สุดด้วยครับ”
เครื่อง multi-axis trainer ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้จำลองสถานการณ์ขณะที่นักบินเจอเครื่องที่หมุนจนหลุดความควบคุมในอวกาศ ในสามท่าก็คือ หมุน เอียง และหัน ชวาล์มอธิบายให้เข้าใจถึงกระบวนการนี้ว่า “พวกเขาจะมีกระบังหน้าของหมวกครอบอยู่ พวกเขาจึงไม่เห็นว่าพวกเขาอยู่ตรงไหน จากนั้น พวกเขาจะหลุดจากการหมุนเหวี่ยงในสามลักษณะ พวกเขาจึงต้องคิดหาทางว่าจะออกจากการหมุนคว้างยังไง จากนั้นก็ทำให้พวกเขารู้สึกสบายกับสถานการณ์ถ้าจะต้องเกิดเหตุที่ควบคุมเครื่องไม่ได้เมื่ออยู่ในอวกาศ และสามารถกลับมาควบคุมเครื่องได้ใหม่”
ต่อมา มีการยกเลิกการใช้เครื่องฝึกด้วยหลายเหตุผลด้วยกัน สาเหตุข้อหนึ่งก็คือการหมุนที่พวกนักบินอวกาศต้องเจอบนโลกที่มีแรงดึงดูด จะไม่เหมือนกับสิ่งที่ต้องเจอเมื่ออยู่ในอวกาศที่ไร้น้ำหนักและต้านแรงดึงดูด
การสร้างบรรยากาศในบ้าน:
การสร้างบ้านครอบครัวอาร์มสตรอง
โครว์ลี่ย์ ร่วมมือกับ ไคล ฮินชอว์ ซึ่งทำหน้าที่ตระเวนหาโลเกชั่น เพื่อหาพื้นที่ละแวกอยู่อาศัยแบบยุค 1960s เพื่อจำลองเมืองเอล ลาโก้, เท็กซัส ที่พวกอาร์มสตรองอาศัยอยู่ นี่คือบ้านที่พวกเขาอยู่อาศัยในระหว่างที่อาร์มสตรอง ทำงานอยู่ที่จอห์นสัน สเปซ เซ็นเตอร์ ในฮูสตัน
. ถึงแม้แอตแลนต้าจะเป็นเมืองที่ถูกสร้างขึ้นกลางป่า โดยมีเนินเขาที่สวยงามและตั้งอยู่ตรงปลายด้านใต้ของบลูริดจ์ เมาน์เท่นส์ แต่ โครว์ลี่ย์และฮินชอว์ก็พบย่านที่อยู่อาศัยบนพื้นที่ราบที่ใช้แทนย่านที่อาศัยของเท็กซัสได้เหมาะที่สุด
“ถนนทั้งเส้นถูกใช้เป็นย่านเอล ลาโก้ ในฮูสตัน มันมีสถาปัตยกรรมแบบยุค 60s และเหมือนกับเพิ่งสร้างใหม่ครับ” โครว์ลี่ย์กล่าว “ดังนั้น ถนนเส้นนี้จึงสามารถแสดงเป็นที่พำนักที่ปลอดภัยสำหรับทีมนักบินอวกาศและครอบครัวของพวกเขาได้ครับ”
หลังจากค้นพบโรงถ่ายกลางแจ้งใจกลางย่านนั้น โครว์ลี่ย์และทีมก่อสร้างก็เริ่มต้นสร้างบ้านของครอบครัวอาร์มสตรองแบบก่ออิฐก้อนต่อก้อน รวมถึงสระว่ายน้ำน้ำอุ่นที่สวนหลังบ้าน เป็นการจำลองบ้านของจริงในแบบที่เรียกว่าเกือบสมบูรณ์แบบทีเดียว
เพื่อสนองความต้องการความสมจริงของชาเซลล์ โครว์ลี่ย์ตัดสินใจสร้างบ้านของอาร์มสตรองตั้งแต่รากฐานกันเลยทีเดียว หลังจากถ่ายทำในย่านรอสเวลล์เป็นเวลาสองอาทิตย์ ทีมงานก็เริ่มคุ้นชินกับย่านนั้น พวกเขาได้รับการต้อนรับราวกับเป็นคนในครอบครัวของคนที่นั่นที่ต่างส่งขนมมาให้กับทีมงานในระหว่างการถ่ายทำตอนกลางคืน
การถ่ายทำหลักเกิดขึ้น ณ โลเกชั่นและโรงถ่ายหลายแห่งในแอตแลนต้า จากนั้น พวกเขาได้ใช้เวลาหนึ่งวันในการถ่ายทำที่เคนเนดี้ สเปซ เซ็นเตอร์ในฮูสตัน เพื่อใช้ประโยชน์จากรถที่เคยถูกใช้ในการขนส่งจรวด Saturn 5 จากอาคารประกอบจรวดของนาซ่า มายังจุดปล่อยตัว
จากนั้น ทีมผู้สร้างได้เดินทางไปยังฐานทัพอากาศเอ๊ดเวิร์ด ในแคลิฟอร์เนีย เพื่อสร้างการปล่อยเครื่อง X-15 ของอาร์มสตรอง และตอนเครื่องลงจอด
จุดหมายคือสรวงสวรรค์:
การถ่ายภาพและสเปเชียลเอฟเฟ็กต์
มือเขียนบทเป็นแฟนผลงานของทีมผู้สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่แล้ว โดยเฉพาะทักษะฝีมืออันโดดเด่นของผู้กำกับภาพ ไลนัส แซนด์เกรน “ในฐานะคนเขียนบท คุณคงไม่มีทางพอใจมากไปกว่านี้แล้วกับการได้เดเมี่ยนและไลนัสมาถ่ายทำภาพยนตร์จากบทของคุณ” ซิงเกอร์บอก “หนทางเดียวที่คุณจะทำได้ดีกว่านั้นก็คือการได้ไลนัสมาถ่ายภาพทีมนักแสดงชุดนี้ งานที่ ไรอัน และแคลร์ และเจสัน และโอลิเวีย ทำที่บ้านมันงดงามมากครับ จากนั้น ก็ยังมี คอรี่ย์, ไรอัน และลูคัส ในยานอะพอลโล่ 11 มันสุดยอดมาก นี่คือทีมนักแสดงที่สุดยอดมาก”
“First Man คือเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ แต่มันก็เป็นเรื่องราวส่วนตัวมากๆ ด้วยครับ” แซนด์เกรนอธิบาย “เราต้องการให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ความรู้สึกเป็นเรื่องใกล้ตัวคนมากขึ้นในหลายฉาก ในฉากพวกนั้น เราตัดสินใจถ่ายทำในรูปแบบ 16 ม.ม. ซึ่งจะให้ความรู้สึกงดงามมากขึ้น ขณะที่เรื่องดำเนินไป และเราก้าวเข้าสู่โลกของนาซ่ามากขึ้น เราก็จะเข้าสู่รูปแบบ 35 ม.ม. และมีความขัดแย้งกันมากขึ้น”
แซนด์เกรน กลับมาจับมือกับ ชาเซลล์ อีกครั้งหลังจากเคยทำงานด้วยกันในภาพยนตร์เรื่อง La La Land ทางทีมผู้สร้างต่างกล่าวชมฝีมือของผู้กำกับภาพ “ไลนัสเป็นคนจัดการงานทุกชอตภาพครับ” ก็อดฟรีย์อธิบาย “เพราะเราต้องการงานที่มีสไตล์ มันคือการถ่ายด้วยกล้องแบบใช้มือจับทั้งหมด คุณต้องการฉากขโมยซีน หลายอย่างมันจะวุ่นวายขึ้นกว่าชอตภาพที่ถ่ายกันด้วยดอลลี่หรือด้วยกล้องเล็ก มันทำให้ไลนัส ซึ่งเป็นผู้กำกับภาพ และคนถือกล้องสามารถสร้างความเชื่อมโยงถึงนักแสดงได้มากขึ้น เขาอยู่ตรงนั้นกับนักแสดงในทุกฉาก และจะคอยติดต่อผ่านวิทยุสื่อสารกับเดเมี่ยนตลอดเวลาด้วยครับ ซึ่ง เดเมี่ยน ก็จะสั่งประมาณว่า ‘ซูมภาพเข้าไปที่เขา แพนกล้องไปทางนี้’”
สำหรับหลายคน มันกลายเป็นชัยชนะที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ในการถ่ายทำฉากภารกิจที่ขึ้นไปสู่การลงจอดบนดวงจันทร์ทั้งหมดด้วยการใช้กล้องถ่าย แต่สำหรับ ชาเซลล์ และทีมผู้อำนวยการสร้าง มันคือความท้าทายที่พวกเขายินดีเผชิญ การใช้เทคโนโลยีล่าสุดในงานเอฟเฟ็กต์ ด้วยความช่วยเหลือจากภาพจากหอสมุดจดหมายเหตุของนาซ่า ทางทีมผู้สร้างเริ่มต้นระดมพลังสมองกัน “นานแปดเดือนก่อนที่เราจะเริ่มถ่ายทำกัน เราเริ่มพูดคุยกันว่าเราอาจใช้ภาพฟุตเตทที่งดงามที่นาซ่าเก็บรวบรวมเอาไว้ในภารกิจของอะพอลโล่หลายต่อหลายครั้ง” เมอริมส์อธิบาย
อย่างไรก็ดี ทางผู้สร้างลังเลที่จะใช้แค่ภาพฟุตเตทเหตุการณ์จริง เพราะเรื่องคุณภาพและข้อจำกัดของมุมกล้อง พวกเขาจึงคิดหาทางออกด้วยการใช้เทคโนโลยีที่เพิ่งถูกนำมาใช้ในภาพยนตร์เพียงไม่กี่เรื่องเท่านั้น แต่ยังไม่เคยมีใครนำมาใช้ในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์อย่าง First Man มาก่อน
ทางทีมงานตัดสินใจว่าพวกเขาจะถ่ายทำภาพฟุตเตทนั้นอีกครั้งโดยการใช้เทคโนโลยีแอลอีดี “เมื่อหลายปีก่อน คนเริ่มใช้เทคโนโลยีแอลอีดีเพื่อสร้างแบ็คกราวน์ที่คุณมองทะลุผ่านรถยนต์หรือรถไฟครับ” เมอริมส์อธิบาย “ดังนั้น เราคิดกันว่าเราสามารถนำเอาภาพฟุตเตทของจริงมาฉายที่จอแอลอีดี เมื่อเราอยู่ในอวกาศพร้อมกับยานเจมินี 8 และอะพอลโล่ 11 จะมีภาพฟุตเตทอันงดงามที่เราต้องขอความช่วยเหลือจากนาซ่า จากนั้น ก็นำมาฉายกับจอแอลอีดีครับ”
เมื่อได้ภาพแบ็คกราวน์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว งานนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับ เจดี ชวาล์ม และทีมสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ของเขาที่จะโยงยานอวกาศแต่ละลำเข้ากับฐานที่เคลื่อนที่ได้ ซึ่งเป็นการเลียนแบบการเคลื่อนไหวที่ยานแต่ละลำสร้างความรู้สึกให้เกิดขึ้นในระหว่างขั้นตอนการบินต่างๆ
“ขณะเดียวกัน เราก็จำลองการบินผ่านอวกาศ และการทดลองที่ นีลและ เดฟ สก็อตต์ อยู่บนยาน Gemini VIII” เมอริมส์อธิบายเพิ่มเติม “เราทำการขยับยานลำนี้ เราเหวี่ยงยาน ทำให้มันหมุน และดวงอาทิตย์ก็กำลังขึ้นและกำลังตก การทำเช่นนั้นกับจอแอลอีดีของเรา เราต้องเชื่อมประสานพวกมันครับ ยานจะอยู่บนแท่นที่สร้างการเคลื่อนไหวที่เรียกกันว่า แท่นทรงกลม ซึ่งควบคุมโดยทีมสเปเชียลเอฟเฟ็กซ์ ความแตกต่างในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือ เราสามารถคิดหาทางที่จะเชื่อมต่อผ่านคอมพิวเตอร์, การฉายภาพบนจอแอลอีดี และการใช้ฐานที่เคลื่อนไหวจริงๆ ครับ”
คงไม่ต้องบอกเลยว่าความท้าทายสูงสุดก็คือการต้องทำเอฟเฟ็กต์ส่วนใหญ่กันต่อหน้ากล้อง “มีเอฟเฟ็กต์มากมายที่ทุกวันนี้เราจะสร้างสภาพแวดล้อมขึ้นด้วยงานวิชวลเอฟเฟ็กต์ที่ใช้เทคนิคซีจี แต่เดเมี่ยนอยากลองทำทุกอย่างต่อหน้ากล้องพร้อมกับนักแสดงครับ” ชวาล์มบอก “ตั้งแต่การบินโดยใช้เครื่องฝึกจนถึงสภาพไร้น้ำหนักเมื่อพวกเขาบินออกไปในอวกาศ เราต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายนั้นครับ”
ข้อดีของการทำทุกอย่างหน้ากล้องสำหรับชวาล์ม และทีมเอฟเฟ็กต์ของเขา ก็คือ พวกเขาสามารถดูภาพย้อนกลับได้หลังจากถ่ายทำ และเห็นสิ่งที่จะเห็นในภาพยนตร์ได้เลย “ความพึงพอใจมันเกิดขึ้นตรงนั้นทุกวันครับ” ชวาล์มหัวเราะ
ด้วยความช่วยเหลือจากโชว์ริก บริษัทด้านเทคนิคล้ำยุคที่เป็นคนคอยจัดแสงให้กับการถ่ายทำ ทำให้ทีมงานสามารถแก้ปัญหาในเรื่องการจัดแสงได้ “โชว์ริกช่วยเราออกแบบดวงอาทิตย์ 360 องศาที่สามารถหมุนวนรอบเครื่องบิน 360 องศาได้” เมอริมส์บอก “ขณะเดียวกัน มันก็มีตัวเชื่อมที่ทำให้มันสามารถวนอย่างต่อเนื่องเป็นแนววงกลมได้ โดยเชื่อมต่อเข้ากับจอแอลอีดีเพื่อเลียนแบบดวงอาทิตย์และการเคลื่อนไหวของมัน”
หนึ่งในยานหลายลำที่โครว์ลี่ย์และทีมเอฟเฟ็กต์ต้องนำมาติดกับแท่นทรงกลมที่เคลื่อนไหวได้ต่อหน้าจอแอลอีดี ก็คือ แคปซูล Gemini VIII นักแสดงชาย คริสโตเฟอร์ แอ็บบ็อตต์ ซึ่งรับบทเป็น เดวิด สก็อตต์ อธิบายว่าฉากนี้เป็นอย่างไรบ้าง “ผมไม่ได้มองไปที่จอกรีนสกรีนด้านนอกหน้าต่างนะครับ แต่มันคือจอแอลอีดีขนาดยักษ์ ตอนที่เราปล่อยจรวด เรามองดูท้องฟ้า ผ่านก้อนเมฆ และคุณก็ออกไปในอวกาศ พอเกิดการหมุนของยาน คุณมองดูโลกและคุณรู้สึกได้ถึงดวงอาทิตย์ มันเป็นฉากที่คุณต้องใช้แรง มันทำให้รู้สึกสมจริงมากขึ้นครับ”
กระบวนการทำงานแบบเก่า:
เทคโนโลยียุคใหม่
โครว์ลี่ย์ที่คุ้นเคยกับงานทำโมเดล พอใจกับไอเดียในการทำแบบจำลองเพื่อสร้างส่วนต่างๆ ของภารกิจ ตั้งแต่การปล่อยยาน จนถึงฉากระหว่างการบิน “ผมเคยทำโมเดลและทำทุกอย่างเพื่องานออกแบบ ดังนั้น ผมจึงมองเห็นมันในแบบสามมิติได้ครับ” โครว์ลี่ย์อธิบาย “ตอนนี้ ผมมีปริ๊นเตอร์ 3D 14 ตัว ดังนั้น ผมจึงสามารถปริ๊นต์ทุกอย่างออกมาในตอนกลางคืน และติดมันเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว ทำให้ผมมองเห็นว่าผมจะชอบมันไหม หรือจะโยนมันทิ้งไปดี”
“ขณะที่เครื่องปริ๊นซ์มีคุณภาพดีขึ้นและใหญ่ขึ้น เราก็มีปริ๊นเตอร์ 3D ที่สามารถพิมพ์งานขนาดสามฟุตครึ่งออกมาได้” โครว์ลี่ย์อธิบายต่อ “ภายในแผนกศิลปกรรม ตอนนี้เราสามารถที่จะพิมพ์แบบจำลอง 3D ออกมาได้ และใช้พวกมันเป็นแบบจำลองในภาพยนตร์เรื่องนี้ มันเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ใช้เทคนิคเก่า เราไม่ได้สร้างมันขึ้นมาใหม่ เราแค่พบขั้นตอนที่ช่วยให้เราเคลื่อนที่ได้เร็วขึ้น และทำฉากขนาดย่อออกมาได้”
หลังจากทำงานด้วยกันในภาพยนตร์หลายเรื่อง อาทิเช่น The Dark Knight, Inception และ Interstellar โครว์ลี่ย์ได้ร่วมงานกับ เอียน ฮันเตอร์ ซึ่งทำงานเป็นซูเปอร์ไวเซอร์ของทีมทำโมเดลจำลองของภาพยนตร์เรื่องนี้ “หนึ่งในความท้าทายหลักๆ ที่เราเจอตอนที่เราใช้เอฟเฟ็กต์แบบจำลองของ First Man ก็คือการรู้ว่าเรากำลังสร้างงานดราม่าอยู่ครับ เวลาที่คุณทำงานกับหนังแฟนตาซี หรือหนังไซไฟ จะมีระดับของความไม่เชื่อที่คนดูมีอยู่แล้ว” ฮันเตอร์บอก “สำหรับเรื่องนี้ เป็นเรื่องสำคัญมากที่จะต้องสร้างยานจำลองขึ้นมา ซึ่งดูเหมือนจริงที่สุด และทำให้คนดูเชื่อว่าสิ่งที่พวกเขาดูอยู่เป็นของจริง”
ฮันเตอร์อธิบายว่าจำนวนของภาพฟุตเตทภารกิจเจมินี่กับอะพอลโล่ที่นาซ่าเก็บรักษาเอาไว้ เป็นทั้งตัวช่วยและอุปสรรคให้กับกระบวนการทำงานของเขา “มีงานสารคดีมากมายเกี่ยวกับภารกิจเหล่านี้ และมันช่วยพวกเราในเรื่องของรายละเอียดและการทำให้แน่ใจว่าโมเดลของเรามีความถูกต้อง แต่ทุกคนในกลุ่มคนดูก็สามารถเข้าถึงงานสารคดีพวกนั้นได้เช่นกัน ดังนั้นพวกเขาสามารถเช็คงานของเราได้เสมอ สำหรับพวกเรา เป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องพยายามสร้างทุกอย่างออกมาให้เหมือนจริงที่สุดเพื่อสร้างภาพของแบบจำลองให้ตรงกับรายละเอียดของภารกิจจริงครับ”
ด้วยความตื่นเต้นที่มีต่อความก้าวหน้าในการพิมพ์โมเดล 3D ฮันเตอร์อธิบายว่าเวลาเปลี่ยนไปในระยะเวลาอันสั้นมาก “ผมทำงานกับมินิซีรีส์ของ HBO เรื่อง From Earth to the Moon และในเวลานั้น เราทำงานกันด้วยมือเยอะมากครับ เราวาดแปลนยานอวกาศขึ้นมา แต่ทำแพตเทิร์นด้วยมือ นับแต่เวลานั้น เทคโนโลยีเปลี่ยนไปจนเราสามารถสร้างแบบยานจำลองย่อส่วนด้วยวิธีที่แตกต่างไปแล้วครับ”
ด้วยความช่วยเหลือจากเครื่องปริ๊นต์ BigRep 3D ฮันเตอร์และโครว์ลี่ย์จึงเริ่มต้นทำงานสร้างโมเดลของพวกเขา “ในกรณีนี้ เราออกแบบโมเดลทั้งหมดเป็นภาพ 3D ในคอมพิวเตอร์ก่อน เมื่อเราได้โมเดลสามมิติพวกนั้นแล้ว เราสามารถแบ่งชิ้นส่วนต่างๆ และสร้างชิ้นส่วนที่แตกต่างกัน โดยใช้เทคนิคสมัยใหม่ที่แตกต่างกันได้ครับ” ฮันเตอร์บอก
ถึงแม้จะได้รับความช่วยเหลือจากเครื่องพิมพ์ 3D แต่งานทำมือก็ยังต้องมีอยู่ในการสร้างแบบจำลองยานพวกนั้นให้ออกมาสมจริง “เมื่อชิ้นส่วนต่างๆ ถูกสร้างขึ้นมาด้วยเทคนิคล้ำยุคสุดไฮเทคเหล่านี้แล้ว มันก็ยังต้องลงเอยด้วยงานทำมืออยู่ดีครับ” ฮันเตอร์เล่า “ยังต้องใช้ทีมศิลปินเข้ามารวบรวมชิ้นส่วนเหล่านี้ จับต่อเข้าด้วยกัน ทาสี และแม้กระทั่งเพิ่มพื้นผิวที่คุณคาดว่าจะหาพบได้จากยุคนั้น ตัวอย่างเช่น กระสวยบังคับการ Apollo CSM จะถูกปกคลุมไปด้วยเทปโลหะในส่วนของยานบังคับการ ดังนั้น เราจึงต้องใช้เทปอลูมิเนียมเพื่อทำให้ได้พื้นผิวที่สะท้อนแสง”
ยานลงจอดปกคลุมไปด้วยเกราะกันความร้อนที่ทำจากฟอยล์ทองและฟอยล์อลูมิเนียม ถึงแม้ว่าทีมงานจะมีเทคโนโลยีสมัยใหม่แล้ว แต่ก็ยังต้องใช้คนตัดด้วยมือและใช้วัสดุอุปกรณ์เหล่านี้ ทำให้สามารถนำเสนอภาพภารกิจนี้ได้อย่างสมจริง
ความท้าทายอีกอย่างที่ทีมสร้างโมเดลจำลองต้องเจอ ก็คือการนำเอาภาพจากการใช้โมเดลขนาดใหญ่ไปอยู่ร่วมกับสไตล์การถ่ายทำ “ยานลงจอด หรือที่พวกเขาเรียกว่าแอลอีเอ็ม ถูกสร้างขึ้นทั้งในแบบจำลองย่อส่วน และแบบขนาดเท่าของจริงเพื่อใช้ในงานแอลอีดีและเพื่อวางไว้บนแท่นที่ขยับได้” ฮันเตอร์บอก “ดังนั้นสำหรับหลายต่อหลายฉากที่อยู่บนดวงจันทร์ จะมีการสร้างอุปกรณ์ขนาดเท่าของจริง จากนั้นเราก็จะใช้ฉากในเวอร์ชั่นใช้โมเดลจำลอง สำหรับพวกเรา มันสำคัญมากที่จะต้องทำงานกับผู้กำกับศิลป์เพื่อให้รายละเอียดที่พวกเขาทำ กับงานสีของพวกเราเข้ากันครับ กราฟฟิค ดีไซเนอร์ของเราจะวางภาพกราฟฟิธให้ทั้งกับอุปกรณ์ประกอบฉากที่มีขนาดเท่าของจริงและแบบจำลอง” เขากล่าว “สำหรับเรา เป็นเรื่องสำคัญมากที่จะต้องทำงานด้วยมือเพื่อให้โมเดลต่างๆ เข้ากันได้”
เพื่อสร้างภาพนี้ ฮันเตอร์ทำงานอย่างใกล้ชิดกับชาเซลล์ โดยเป็นการสร้างงานโดยอิงจากภาพฟุตเตทเหตุการณ์จริงที่ได้มา “เราอิงจากภาพฟุตเตทภารกิจจริงเลยครับ” ฮันเตอร์กล่าว “เดเมี่ยนให้แนวทางกับเราว่าชอตนั้นควรจะให้ความรู้สึกเช่นไร รวมถึงในเรื่องอารมณ์และจังหวะเวลาด้วย เพราะเราจะต้องแม็ตช์ภาพกับดนตรี ทุกอย่างจะต้องเกี่ยวพันกับภาพลักษณ์นั้น เมื่อเราได้ภาพต่อหน้าเรา เราก็จะใช้ความเห็นจากเขาว่ามันควรจะเกิดอะไรขึ้นกับยานอวกาศนั้น มันทำให้เรามีแนวทาง มีการวางอารมณ์เพื่อให้ได้ภาพตามที่เขาต้องการครับ”
ย้อนยุคอย่างสมจริง:
งานออกแบบเครื่องแต่งกาย
ต้องขอบคุณฐานข้อมูลของนาซ่า พร้อมด้วยรูปถ่ายจากหอจดหมายเหตุ แมรี่ โซเฟรส ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย และทีมออกแบบของเธอสามารถค้นคว้าข้อมูลว่าในเวลานั้นๆ นักบินอวกาศแต่งกายกันอย่างไร “ฐานข้อมูลของนาซ่าเหมือนกับขุมทรัพย์ข้อมูลเลยค่ะ” โซเฟรสบอก “เราศึกษาตั้งแต่โครงการ X-15 จนถึง Gemini V จนถึง Gemini VIII จนถึง Apollo 1 แล้วก็ Apollo 11 เมื่อโครงการอวกาศเดินหน้าไป งานเก็บข้อมูลก็ยิ่งจริงจังขึ้น เมื่อทั้งประเทศเข้าใกล้จะเห็นโครงการอะพอลโล่ 11 พวกเขาก็บันทึกมันเอาไว้เกือบทั้งหมดแล้วค่ะ”
หลังจากกลั่นกรองข้อมูลในหอจดหมายเหตุของนาซ่า โซเฟรสและทีมออกแบบของเธอก็กลายร่างเป็นนักสืบด้านเสื้อผ้าย้อนยุค “มีการค้นคว้าจำนวนมากที่หาได้ค่ะ แต่มันก็ต้องมีลูกเล่น” โซเฟรสอธิบาย “พวกเขาถ่ายภาพทุกอย่างเอาไว้ ตั้งแต่ตอนจัดงานโปรโมทจนถึงตอนทดสอบปล่อยยาน ซึ่งทำให้มันยากจะบอกได้ว่ารูปไหนที่เหมาะกับเหตุการณ์ที่เรากำลังถ่ายทำกันอยู่ ฉันรู้สึกเหมือนว่าฉันได้เรียนรู้เกี่ยวกับโครงการอวกาศ และการปล่อยยานไปดวงจันทร์จนหมดทุกอย่างแล้วค่ะ สำหรับชุดนักบินอวกาศทีมอะพอลโล่ 11 เรามีสองแบบด้วยกัน แบบหนึ่งสำหรับนักแสดงแต่ละคน กับอีกแบบสำหรับนักแสดงสตั๊นต์ค่ะ”
สำหรับภาพลักษณ์ของเหล่าพลเรือนในภาพยนตร์เรื่องนี้ โซเฟรสอธิบายว่าพวกเขาโชคดีที่มีการบันทึกภาพของเหล่านักบินอวกาศขณะใช้ชีวิตส่วนตัวด้วย ต้องขอบคุณ ราล์ฟ มอร์ส ช่างภาพประจำแม็กกาซีน Life “สำหรับไมก์, บัซซ์ และนีล จะมีรูปถ่ายพอลเรือนที่ถ่ายขณะที่พวกเขาไปที่จุดปล่อยยาน” โซเฟรสเล่า “เราพยายามดูรูปถ่ายของคนจริงๆ ให้เยอะที่สุดเท่าที่จะหาได้ จากนั้นก็ค่อยๆเฟ้นจากตรงนั้นค่ะ ตัวอย่างเช่น โอลิเวีย ซึ่งรับบทเป็น แพ็ต ไวต์ เธอเดินทางไปเยี่ยมลูกาสวของ เอ๊ดและแพ็ต และได้เห็นรูปถ่ายของครอบครัว นั่นช่วยได้มากเลยค่ะ ฉันพยายามที่จะไม่จำลองภาพถ่ายจริง แต่ใช้วิธีรวบรวมจากรูปถ่ายเหล่านั้นว่าสไตล์ของคนที่เราพยายามนำเสนอเป็นอย่างไร”
“มีหลายอย่างที่เกิดขึ้นจากสิ่งที่ยังหาได้ค่ะ” โซเฟรสอธิบายต่อ “อย่างแรก มันเป็นยุคก่อนอินเตอร์เน็ตค่ะ มีที่อยู่สองแห่งให้ชอปปิ้งได้ในเอลลาโก้, เท็กซัส มีห้างเจซี เพนนี กับเซียร์ส นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมหลายคนถึงรู้สึกราวกับว่าพวกเขามีสไตล์ที่คล้ายกัน นั่นเพราะพวกเขาหาซื้อเสื้อผ้าได้จากแค่ที่นั่นค่ะ”
โซเฟรสดีใจที่เจเน็ตไม่ได้แต่งตัวหวือหวา เธอเล่าว่า “นั่นเห็นได้ชัดจากเสื้อผ้าของเธอค่ะ แต่เราก็พยายามที่จะแสดงให้เห็นถึงช่วงเวลาที่เปลี่ยนไป ในตอนแรก เธออยู่ในวัย 20 กว่าๆ ค่ะ จากนั้นเธอก็โตขึ้นเป็นวัย 30 กว่า มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นในทั้งเจเน็ตและนีล ซึ่งเรามองเห็นได้ชัดกับตัวละครสองตัวนี้มากกว่าตัวละครตัวอื่นๆ ค่ะ”
กับภาพยนตร์ที่วางเหตุการณ์เอาไว้ตั้งแต่ปี 1961 ถึง 1969 โซเฟรสและทีมงานของเธอต้องแสดงช่วงเวลายาวนานเกือบสิบปี “ชุดนักบินอวกาศคือสิ่งที่หายากที่สุด และน้ำหนักของชุดก็ต้องใช่ด้วยค่ะ” โซเฟรสอธิบาย “นั่นคืองานที่ท้าทายที่สุด แต่เราก็พบเสื้อผ้าวินเทจดีๆ หลายชิ้นที่เราสามารถมาใช้ทำชุดให้กับเจเน็ตและนีลได้ เราทำเสื้อผ้าขึ้นเยอะมากค่ะ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นชุดที่เราไปหาเจอ ซึ่งดีมาก มันช่วยให้ความสมจริงของภาพลักษณ์กับการใช้เสื้อผ้าจากยุคนั้นจริงๆ ค่ะ”
ปิดท้ายงานส้ราง ชไรเบอร์, ฮาส และสโตลล์ ยังไม่เดินทางกลับหลังจากการถ่ายทำที่เจเอสซี ในฟลอริด้า เพื่อดูการปล่อยจรวด Falcon Heavy Rocket ที่ดาดฟ้าตึก Vehicle Assembly Building (VAB) ซึ่งเป็นที่เก็บจรวดอย่าง Saturn 5
ตัวดันจรวดที่ทรงพลังที่สุดนับแต่จรวด Saturn 5 ของนาซ่า ที่เป็นตัวนำยานอะพอลโล่ 11 ไปสู่การสร้างประวัติศาสตร์ จรวด Falcon Heavy ได้ถูกปล่อยจากแท่น Launch Pad 39A ที่เคนเนดี้ สเปซ เซ็นเตอร์ ที่เดียวกับที่อะพอลโล่ 11 เคยใช้ หลังจากจรวดถูกปล่อยออกไป ตัวดันจรวดสองอันหลักได้กลับคืนสู่โลกอย่างประสบความสำเร็จ เมื่อทีมนักแสดงไปยืนอยู่บนดาดฟ้าของตึก VAB เพื่อรอให้ลิฟต์ขึ้นมาถึง โดยมีอินทรีหัวล้านตัวหนึ่งเกาะอยู่ด้านหลังจุดที่เหล่านักแสดงยืนอยู่ ฮาสที่รู้สึกทึ่งอย่างมาก อธิบายว่าประสบการณ์ครั้งนั้นมันคือประสบการณ์ที่คงลืม่ไม่ลงแน่ “มันคือประสบการณ์ที่ผมจะไม่มีวันลืมครับ ในที่สุด อินทรีก็ได้ลงแตะพื้นแล้ว”
ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส ภูมิใจเสนอ ผลงานความร่วมมือกับดรีมเวิร์กส์ พิคเจอร์ส และเพอร์เฟ็กต์ เวิลด์ พิคเจอร์ส ผลงานการสร้างของ เทมเปิ้ล ฮิลล์ ภาพยนตร์ของ เดเมี่ยน ชาเซลล์ โดยมี ไรอัน กอสลิง แสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง First Man ร่วมแสดงด้วย แคลร์ ฟอย, เจสัน คล๊าร์ก, ไคล แชนด์เลอร์, คอรี่ย์ สโตลล์, เซียแรน ไฮนด์ส, คริสโตเฟอร์ แอ็บบ็อตต์ ผู้ทำหน้าที่คัดเลือกตัวนักแสดงก็คือ ฟรานซีน ไมสเลอร์, ซีเอสเอ ดนตรีประกอบเป็นฝีมือของ จัสติน เฮอร์วิตซ์ ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ได้แก่ แมรี่ โซเฟรส งานลำดับภาพเป็นฝีมือของ ทอม ครอสส์, เอซีอี โปรดักชั่น ดีไซเนอร์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ได้แก่ นาธาน โครว์ลี่ย์ ส่วนผู้กำกับภาพ ก็คือ ไลนัส แซนด์เกรน, เอฟเอสเอฟ ทีมผู้อำนวยการสร้างบริหาร ได้แก่ สตีเว่น สปีลเบิร์ก, อดัม เมอริมส์, จอช ซิงเกอร์ ภาพยนตร์เรื่องนี้อำนวยการสร้างโดย วิค ก็อดฟรีย์, มาร์ตี้ โบเว่น, ไอแซ็ค เคล้าส์เนอร์, เดเมี่ยน ชาเซลล์ First Man สร้างจากหนังสือของ เจมส์ อาร์ แฮนเซ่น บทภาพยนตร์เป็นฝีมือของ จอช ซิงเกอร์ ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย เดเมี่ยน ชาเซลล์ © 2018 Universal Studios. www.firstman.com
ประวัติทีมนักแสดง
ไรอัน กอสลิง (RYAN GOSLING) รับบท นีล อาร์มสตรอง
บทแจ้งเกิดของ ไรอัน กอสลิง คือในภาพยนตร์เรื่อง The Believer ซึ่งทำให้เขาได้รับคำชมมากมาย และได้รับความสนใจจากคนในวงการ ขณะที่ภาพยนตร์ได้รับรางวัล Grand Jury ที่งานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ปี 2001 ตัวกอสลิงเองได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Film Independent Spirit Awards และ London Film Critics’ Circle สาขาดารานำชายยอดเยี่ยม
หลังจากนั้นเขายังคงได้รับคำชมจากการแสดงบทที่มีความซับซ้อนและท้าทาย เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ ในปี 2007 สาขาดารานำชายยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่อง Half Nelson
ในปีต่อมา กอสลิงได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงทั้งรางวัลลูกโลกทองคำ และรางวัลแซ็ก อวอร์ด จากภาพยนตร์เรื่อง Lars and The Real Girl และได้เข้าชิงอีกครั้งในปี 2011 จากภาพยนตร์เรื่อง Blue Valentine ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ มิเชลล์ วิลเลี่ยมส์
ในปี 2011 กอสลิงแสดงนำร่วมกับ สตีฟ คาเรลล์ และเอ็มม่า สโตน ในภาพยนตร์ตลกเรื่อง Crazy, Stupid, Love ในปีเดียวกันนั้น เขาแสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง Drive และ The Ides of March
นับแต่ปี 2015 กอสลิงร่วมแสดงกับ คริสเตียน เบล, สตีฟ คาเรลล์ และแบร็ด พิตต์ ในภาพยนตร์เรื่อง The Big Short ซึ่งเขียนบทและกำกับโดย อดัม แม็คเคย์ และในภาพยนตร์ตลกผลงานกำกับของ เชน แบล็ค เรื่อง The Nice Guys โดยร่วมแสดงกับ รัสเซลล์ โครว์
ในปี 2016 กอสลิงแสดงนำร่วมกับ เอ็มม่า สโตน ในภาพยนตร์เรื่อง La La Land ซึ่ง เดเมี่ยน ชาเซลล์ ทั้งเขียนบทและกำกับ ภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 14 รางวัล และทำให้กอสลิงได้รับรางวัลมากมาย
ในปี 2017 กอสลิงแสดงนำร่วมกับ แฮร์ริสัน ฟอร์ด ในภาพยนตร์เรื่อง Blade Runner 2049 ซึ่งกำกับโดย เดนิส วิลเลอเนิฟ
แคลร์ ฟอย (CLAIRE FOY) รับบท เจเน็ต อาร์มสตรอง
แคลร์ ฟอย คือหนึ่งในนักแสดงที่ฝีมือเป็นที่ยอมรับมากที่สุดในสหราชอาณาจักร และมีผลงานการแสดงทั้งในแวดวงทีวี ภาพยนตร์ และละครเวที นอกจาก First Man แล้ว ฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ ฟอยจะแสดงนำในภาพยนตร์ของ โซนี่ พิคเจอร์ส เอนเตอร์เทนเมนต์ เรื่อง The Girl in the Spider’s Web
เมื่อเร็วๆ นี้ ฟอยร่วมแสดงในภาพยนตร์เขย่าขวัญของ สตีเว่น โซเดอร์เบิร์ก เรื่อง Unsane ซึ่งถ่ายทำกันทั้งเรื่องด้วยโทรศัพท์ไอโฟน 7 และได้รับคำชมทั้งในเรื่องการแสดงของฟอยและวิสัยทัศน์ของโซเดอร์เบิร์ก
ก่อนหน้านี้ ฟอยร่วมแสดงซีรีส์ที่ได้รับคำชมของ เน็ตฟลิกซ์ เรื่อง The Crown มา 2 ซีซั่น ฟอยยังร่วมแสดงกับ แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ ในผลงานเรื่อง Breathe ในเดือนตุลาคม ปี 2017 จากฝีมือการกำกับของ แอนดี้ เซอร์กิส
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของฟอย ได้แก่ Rosewater ผลงานการกำกับเรื่องแรกของ จอน สจ๊วร์ต และในปี 2011 เธอแสดงนำร่วมกับ นิโคลัส เคจ ในภาพยนตร์ทริลเลอร์เรื่อง Season of the Witch และร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Wreckers ซึ่งนำแสดงโดย เบเนดิคต์ คัมเบอร์แบ็ตช์
เจสัน คล๊าร์ก (JASON CLARKE) รับบท เอ๊ด ไวต์
เจสัน คล๊าร์ก คือหนึ่งในนักแสดงที่ได้รับความนับถือมากที่สุดที่ยังทำงานอยู่ในฮอลลีวู้ดทุกวันนี้
ในฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ คล๊าร์กจะร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Serenity ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ แมทธิว แม็คคอนนาเฮย์ และแอนน์ แฮ็ทธาเวย์ และจะเปิดตัวฉายในเดือนตุลาคม
ในเดือนเมษายน ปี 2019 คล๊าร์กจะแสดงนำในภาพยนตร์ดราม่ายุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เรื่อง The Aftermath ซึ่งสร้างจากนิยายของ ไรเดี้ยน บรู้ก โดยเขาร่วมแสดงกับ อเล็กซานเดอร์ สการ์สการ์ด และคีร่า ไนต์ลี่ย์
ปัจจุบัน คล๊าร์กอยู่ระหว่างถ่ายทำงานรีเมก ภาพยนตร์เรื่อง Pet Sematary ซึ่งสร้างจากนิยายของ สตีเฟ่น คิง และในเดือนกันยายน เขาร่วมแสดงกับ เฮเลน มิร์เรน ในมินิซีรีส์ของ HBO เรื่อง Catherine the Great
เมื่อเร็วๆ นี้ คล๊าร์กแสดงนำในภาพยนตร์ดราม่าเรื่อง Chappaquiddick ภาพยนตร์ชีวประวัติที่กำกับโดย จอห์น เคอร์แรน เมื่อปีที่แล้ว คล๊าร์กแสดงนำในผลงานดราม่าย้อนยุคของ เน็ตฟลิกซ์ เรื่อง Mudbound ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ แครี่ย์ มัลลิแกน, แมรี่ เจ ไบรจ์ และแกร์เร็ตต์ เฮ็ดลันด์
คล๊าร์กมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมากที่สุด จากการรับบทนำในภาพยนตร์รางวัลออสการ์ เรื่อง Zero Dark Thirty ซึ่งกำกับโดย แคเธอรีน บิเกโลว์ เขายังแสดงนำในภาพยนตร์ของ บัลทาซ่าร์ คอร์มาเคอร์ เรื่อง Everest, ร่วมแสดงกับ เอมิเลียน คล๊าร์ก และอาร์โนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์ ในภาพยนตร์เรื่อง Terminator Genisys; แสดงนำในภาพยนตร์ไซไฟภาคต่อเรื่อง Dawn of the Planet of the Apes และร่วมแสดงกับ บริท มาร์ลิ่ง และ ไดแอน ครูเกอร์ ในภาพยนตร์เรื่อง The Better Angels
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของคล๊าร์ก ได้แก่ ภาพยนตร์ของ มาร์ค ฟอร์สเตอร์ เรื่อง All I See Is You; ภาพยนตร์ของ เทอร์เรนซ์ มาลิค เรื่อง Knight of Cups, ภาพยนตร์ของ บาซ ลูห์รแมนน์ เรื่อง The Great Gatsby; ภาพยนตร์ของ โรแลนด์ เอ็มเมอริช เรื่อง White House Down; ภาพยนตร์ของ จอห์น ฮิลล์โค้ท เรื่อง Lawless; ภาพยนตร์ของ ไมเคิล มานน์ เรื่อง Public Enemies; ภาพยนตร์ของ แดเนียล เอสพิโนซ่า เรื่อง Child 44; ภาพยนตร์เรื่อง Texas Killing Fields; ผลงานการกำกับเรื่องแรกของ เจด้า พินเก็ตต์ สมิธ เรื่อง The Human Contract; ภาพยนตร์ของ เดวิด ชวิมเมอร์ เรื่อง Trust และภาพยนตร์ที่กำกับโดย วิคตอเรีย มาฮันนี่ย์ เรื่อง Yelling to the Sky
ไคล แชนด์เลอร์ (KYLE CHANDLER) รับบท เด๊ก สเลย์ตัน
ไคล แชนด์เลอร์ กลายเป็นนักแสดงที่มีคนต้องการตัวมากที่สุดอย่างรวดเร็ว
แชนด์เลอร์เป็นที่รู้จักไปทั่วจากการรับบทเป็นโค้ช เอริค เทย์เลอร์ ในซีรีส์เรื่อง Friday Night Lights ซึ่งปิดซีซั่นแรกไปในปี 2011 โดยได้รับคำชมและได้รับความนิยมอย่างมาก เขายังแสดงนำในซีรีส์ของเน็ตฟลิกซ์เรื่อง Bloodline
เมื่อเร็วๆ นี้ แชนด์เลอร์เพิ่งจะปิดกล้องภาพยนตร์เรื่อง Godzilla: King of the Monsters ซึ่งนำแสดงโดย มิลลี่ บ็อบบี้ บราวน์, แซลลี่ ฮอว์กิ้นส์, แบร็ดลี่ย์ วิทฟอร์ด และเวร่า ฟาร์ไมก้า
ในปี 2016 แชนด์เลอร์แสดงนำร่วมกับ เคซี่ย์ แอฟเฟล็ค และมิเชลล์ วิลเลี่ยมส์ ในภาพยนตร์ของ เคนเนธ โลเนอร์แกน เรื่อง Manchester by the Sea ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อรางวัลต่างๆ มากมาย
เขายังร่วมแสดงในภาพยนตร์ที่ได้รับคำชมหลายเรื่อง อาทิเช่น Carol ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ เคท แบลนเช็ตต์ และรูนนี่ย์ มาร่า; ภาพยนตร์ของ มาร์ติน สกอร์เซซี่ เรื่อง The Wolf of Wall Street ซึ่งร่วมแสดงกับ ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ, แมทธิว แม็คคอนนาเฮย์ และโจนาห์ ฮิลล์; Argo ภาพยนตร์ทริลเลอร์ดราม่าที่กำกับโดย เบน แอฟเฟล็ค และภาพยนตร์ดราม่าของ แคธริน บิเกโลว์ เรื่อง Zero Dark Thirty
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของแชนด์เลอร์ ได้แก่ ภาพยนตร์ของ อัลเลน ฮิวจ์ส เรื่อง Broken City; ภาพยนตร์ของ เจมส์ พอนโซลด์ต์ เรื่อง The Spectacular Now, ภาพยนตร์ของ เจเจ อับรามส์ และสตีเว่น สปีลเบิร์ก เรื่อง Super 8; ภาพยนตร์เรื่อง The Day the Earth Stood Still ซึ่งนำแสดงโดย คีอานู รีฟส์ และเจนนิเฟอร์ คอนเนลลี่; ภาพยนตร์ทริลเลอร์เรื่อง The Kingdom; ภาพยนตร์ฮิตเรื่อง King Kong; ภาพยนตร์เรื่อง Mulholland Falls; Angel’s Dance; Pure Country และภาพยนตร์เรื่อง The Color of Evening
คอรี่ย์ สโตลล์ (COREY STOLL) รับบท บัซซ์ อัลดริน
คอรี่ย์ สโตลล์ มีชื่อเสียงมากที่สุดจากการรับบทในซีรีส์ของเน็ตฟลิกซ์ เรื่อง House of Cards
ผลงานใหม่ในปีนี้ สโตลล์จะแสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง Driven โดยร่วมแสดงกับ เจสัน ซูไดคิส และยังจะร่วมแสดงกับ อดัม ไดรเวอร์ ในภาพยนตร์ของ สก็อตต์ ซี เบิร์นส์ เรื่อง The Torture Report
บทบาทก่อนหน้านี้ของเขา ได้แก่ การรับบทเป็น เออร์เนสต์ เฮมมิ่งเวย์ ในภาพยนตร์ของ วูดดี้ อัลเลน เรื่อง Midnight in Paris ซึ่งเขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Independent Spirit Award สาขาดาราสมทบชายยอดเยี่ยม และรับบทเป็น เยลโลว์แจ็คเก็ต ในภาพยนตร์ของ มาร์เวล เรื่อง Ant-Man
สโตลล์ยังร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Café Society; Gold; Black Mass; This Is Where I Leave You; ผลงานของ HBO เรื่อง Girls; ผลงานของ โชว์ไทม์ เรื่อง Homeland และซีรีส์ของเอฟเอ็กซ์ 4 ซีชั่นเรื่อง The Strain
เซียแรน ไฮนด์ส (CIARÁN HINDS) รับบท บ็อบ กิลรูธ
เซียแรน ไฮนด์ส เริ่มต้นงานแสดงที่คณะละคร The Glasgow Citizens Theatre และทำงานอยู่ที่นั่นมานานหลายปี รวมไปถึงยังมีผลงานแสดงละครเวทีจำนวนมาก
ส่วนผลงานการแสดงภาพยนตร์ของไฮนด์ส ได้แก่ ภาพยนตร์ของ ปีเตอร์ กรีนอะเวย์ เรื่อง The Cook, the Thief, His Wife & Her Lover; December Bride; Circle of Friends; Titanic Town; Some Mother’s Son; Oscar and Lucinda; The Lost Son; The Weight of Water; Mary Reilly; ภาพยนตร์ของ แซม เมนเดส เรื่อง Road to Perdition; The Sum of All Fears; Mickybo and Me; Calendar Girls; Lara Croft Tomb Raider: The Cradle of Life; The Statement; ภาพยนตร์ของ โจล ชูมัคเกอร์ เรื่อง Veronica Guerin และ The Phantom of the Opera; ภาพยนตร์ของ ไมเคิล มานน์ เรื่อง Miami Vice; ภาพยนตร์ของ สตีเว่น สปีลเบิร์ก เรื่อง Munich; ภาพยนตร์ของ ไมเคิล แอ็ปด์เรื่อง Amazing Grace; ภาพยนตร์ของ แคเธอรีน ฮาร์ดวิค เรื่อง The Nativity Story; Hallam Foe; A Tiger’s Tail; ภาพยนตร์ของ จอห์น บัวร์แมน เรื่อง Excalibur; ภาพยนตร์ของ โนอาห์ บาว์มแบช เรื่อง Margot at the Wedding; ภาพยนตร์ของ พอล โธมัส แอนเดอร์สัน เรื่อง There Will Be Blood; ภาพยนตร์ของ คิมเบอร์ลี่ เพียร์ซ เรื่อง Stop-Loss; ภาพยนตร์ของ มาร์ติน แม็คโดนัฟ เรื่อง In Bruges; The Tale of Despereaux; Miss Pettigrew Lives for a Day; Ca$h!; Race to Witch Mountain; ภาพยนตร์ของ แม็คเฟอร์สัน เรื่อง The Eclipse for ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลดารานำชายยอดเยี่ยมที่งานเทศกาลภาพยนตร์ไทบีก้า; Life During Wartime; The Debt; Harry Potter and the Deathly Hallows Part 2; John Carter; Salvation Boulevard; The Rite; Tinker Tailor Soldier Spy; Ghost Rider: Spirit of Vengeance; The Woman in Black; Closed Circuit; The Disappearance of Eleanor Rigby: Him; The Sea; Frozen; Last Days in the Desert; Hitman: Agent 47; The Driftless Area; Bleed for This; ภาพยนตร์ของ มาร์ติน สกอร์เซซี่ เรื่อง Silence; Woman Walks Ahead; Red Sparrow และ Justice League
แพทริค ฟูจิท (PATRICK FUGIT) รับบท เอลเลียต ซี
ตอนอายุ 16 ปี แพทริค ฟูจิท เริ่มแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกในภาพยนตร์ปี 2000 เรื่อง Almost Famous ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสิบภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดแห่งทศวรรษ จากปี 2000-2010
ตลอดหลายปีต่อมา ฟูจิทมีผลงานมากมายทั้งที่เป็นภาพยนตร์สตูดิโอ และภาพยนตร์อินดี้ อาทิเช่น White Oleander, Spun, Saved!, The Amateurs, Wristcutters: A Love Story and Cirque du Freak: The Vampire’s Assistant ในปี 2011 ฟูจิทร่วมแสดงในผลงานของ HBO เรื่อง Cinema Verite ในปีเดียวกันนั้น เขายังกลับไปร่วมงานกับผู้กำกับ คาเมรอน โครว์ อีกครั้งในภาพยนตร์เรื่อง We Bought a Zoo ต่อมา ฟูจิทร่วมแสดงกับ ทิม ร็อบบิ้นส์, มาร์ก รัฟฟาโล่ และกวินเนธ พัลโทรว์ ในภาพยนตร์เรื่อง Thanks for Sharing
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขา ได้แก่ ภาพยนตร์ของ เดวิด ฟินเชอร์ เรื่อง Gone Girl; ภาพยนตร์อินดี้ เรื่อง The Strongest Man; Queen of Earth และภาพยนตร์ตลกโรแมนติค เรื่อง Alex & The List ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ เจนนิเฟอร์ มอร์ริสัน
ลูคัส ฮาส (LUKAS HAAS) รับบท ไมก์ คอลลิ่นส์
ลูคัส ฮาส คือนักแสดงชาวอเมริกันที่มีผลงานทั้งทางจอเงินและจอแก้ว เขาได้ร่วมแสดงกับ เจสสิก้า แลงก์ ในภาพยนตร์เรื่อง Music Box, ร่วมแสดงกับ โรเบิร์ต ดูวัลล์ ในภาพยนตร์สองเรื่อง ได้แก่ Convicts และ Rambling Rose และร่วมแสดงกับ จอห์น ซี รีลลี่ย์ และวีโนน่า ไรเดอร์ ในภาพยนตร์เรื่อง Boys
ฮาสยังร่วมแสดงในภาพยนตร์ของ วูดดี้ อัลเลน เรื่อง Everyone Says I Love You, ภาพยนตร์ของ ทิม เบอร์ตัน เรื่อง Mars Attacks! และภาพยนตร์ของ อลัน รูดอล์ฟ เรื่อง Breakfast of Champions เขายังรับบทสำคัญในผลงานการกำกับเรื่องแรกรของ ไรอัน จอห์นสัน เรื่อง Brick ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ โจเซฟ กอร์ดอน-ลิววิตต์ ต่อมา เขาร่วมแสดงในภาพยนตร์ของ กัส แวน แซนต์ เรื่อง Last Days; ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Material Girls; The Tripper; Who Loves the Sun; Gardener of Eden; While She Was Out และ Death in Love
ในปี 2010 ฮาสรับบทสมทบอยู่ในภาพยนตร์ของ คริสโตเฟอร์ โนแลน เรื่อง Inception ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ, เอลเลน เพจ, กอร์ดอน-ลิววิตต์, ไมเคิล เคน และมารียง กอติยาร์ และยังร่วมแสดงในภาพยนตร์ของ แคเธอรีน ฮาร์ดวิค เรื่อง Red Riding Hood และภาพยนตร์ของ บัลทาซ่าร์ คอร์มาเคอร์ เรื่อง Contraband
ฮาส ยังร่วมแสดงในผลงานเอพิคของ อเลฮานโดร อินาร์ริตู เรื่อง The Revenant และจะร่วมแสดงในภาพยนตร์ของ สตีฟ แม็คควีน เรื่อง Widows
ประวัติทีมผู้สร้าง
เดเมี่ยน ชาเซลล์ (DAMIEN CHAZELLE) – ผู้กำกับ/ ผู้อำนวยการสร้าง
เดเมี่ยน ชาเซลล์ ผู้กำกับรางวัลออสการ์ เป็นผู้ที่ทั้งเขียนบทและกำกับภาพยนตร์เพลงเรื่อง La La Land ซึ่งได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ไปถึง 14 รางวัล ก่อนจะคว้าไปได้ 6 รางวัลด้วยกัน ซึ่งรวมถึงสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม ทำให้ ชาเซลล์ กลายเป็นผู้กำกับที่มีอายุน้อยที่สุดที่ได้รับรางวัลสาขานี้
ผลงานเรื่องก่อนหน้านี้ของเขา คือภาพยนตร์ปี 2014 เรื่อง Whiplash ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ 5 รางวัล และคว้ามาได้ 3 รางวัล รวมถึงรางวัลดาราสมทบชายยอดเยี่ยม ของ เจเค ซิมม่อนส์
ชาเซลล์ ประเดิมงานกำกับภาพยนตร์เรื่องแรก ได้แก่ เรื่อง Guy and Madeline on a Park Bench โดยเขาสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และได้รับการยกย่องจากหนังสือพิมพ์หลายฉบับให้เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ดีที่สุดในปีนั้น
จอช ซิงเกอร์ (JOSH SINGER) – เขียนบท/ ผู้อำนวยการสร้างบริหาร
จอช ซิงเกอร์ คือมือเขียนบทเจ้าของรางวัลออสการ์ ผลงานเมื่อเร็วๆ นี้ของเขา ได้แก่ภาพยนตร์ดราม่าของ สตีเว่น สปีลเบิร์ก เรื่อง The Post ซึ่งเขาร่วมเขียนบทกับ ลิซ ฮันนาห์
ก่อนหน้านั้น ซิงเกอร์ร่วมเขียนบทให้กับภาพยนตร์ดราม่าที่ได้รับคำชมเรื่อง Spotlight ผลงานของผู้กำกับ ทิม แม็คคาร์ธี่ เขาประเดิมงานเขียนบทภาพยนตร์ให้กับภาพยนตร์เรื่องแรก คือภาพยนตร์ดราม่า เรื่อง The Fifth Estate ซึ่งนำแสดงโดย เบเนดิคต์ คัมเบอร์แบช และแดเนียล บรูห์ล ปัจจุบัน เขาอยู่ระหว่างทำงานกับภาพยนตร์ชีวประวัติของ เลนนาร์ด เบิร์นสตีน โดยมีชื่อ มาร์ติน สกอร์เซซี่ นั่งแท่นในตำแหน่งผู้อำนวยการสร้าง และมีแบร็ดลี่ย์ คูเปอร์ ทำหน้าที่ผู้กำกับ
เจมส์ อาร์ แฮนเซ่น (JAMES R. HANSEN) – ผู้แต่งหนังสือต้นเรื่อง
เจมส์ อาร์ แฮนเซ่นคือโปรเฟสเซอร์สาขาประวัติศาสตร์ที่ทำงานอยู่ที่มหาวิทยาลัย ออเบิร์น ในอลาบาม่า หนังสือเรื่อง “From the Ground Up” ของเขา คว้ารางวัล History Manuscript Award จากสถาบัน American Institute of Aeronautics and Astronautics ในปี 1987 และหนังสือเรื่อง “The Wind and Beyond: A Documentary Journey into the History of Aerodynamics in America” ได้รับรางวัล Eugene S. Ferguson Prize for Outstanding Reference Work จาก Society for the History of Technology ในปี 2005
หนังสือเรื่อง “First Man: The Life of Neil A. Armstrong” ถือเป็นหนังสือชีวประวัติของ นีล อาร์มสตรอง อย่างเป็นทางการ
วิค ก็อดฟรีย์ (WYCK GODFREY, p.g.a.)- ผู้อำนวยการสร้าง
ก่อนที่จะมาทำหน้าที่ปัจจุบันในตำแหน่งประธานกลุ่มภาพยนตร์ของ พาราเม้าต์ พิคเจอร์ส วิค ก็อดฟรีย์คือผู้อำนวยการสร้างที่มีผลงานภาพยนตร์ทำรายได้จากทั่วโลกรวมทั้งหมดมากกว่า $6 พันล้าน
ก็อดฟีรย์เริ่มต้นเข้าวงการด้วยการเป็นผู้บริหารอยู่ที่นิวไลน์ซีนีม่า หลังจากสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน ในปี 1990 ขณะทำงานอยู่ที่นิวไลน์ซีนีม่า เขาได้ทำงานกับภาพยนตร์ฮิตอย่างเรื่อง The Mask, Dumb and Dumber และภาพยนตร์แฟรนไชส์สุดฮิตอย่างเรื่อง Nightmare on Elm Street franchises
ต่อมา เขาได้ไปทำงานกับบริษัทเดวิส เอนเตอร์เทนเมนต์ ในตำแหน่งรองประธานบริหาร และได้เข้าไปมีส่วนในการพัฒนางานสร้างของภาพยนตร์แอ็กชั่นเรื่องฮิตของ จอห์น มัวร์ เรื่อง Behind Enemy Lines หลังจากเขาได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นประธานบริษัท ก็อดฟีรย์ได้พัฒนาและอำนวยการสร้างภาพยนตร์ตลกเรื่อง Daddy Day Care ซึ่งนำแสดงโดย เอ๊ดดี้ เมอร์ฟี่ย์ เขาได้กลับไปร่วมงานกับผู้กำกับมัวร์อีกครั้งในภาพยนตร์รีเมกปี 2004 เรื่อง Flight of the Phoenix ขณะที่เขาทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์ทริลเลอร์โลกอนาคตของ อเล็กซ์ โปรยาส เรื่อง I, Robot ผลงานเรื่องอื่นๆ ของเขาในเวลานั้น ได้แก่ งานรีเมกภาพยนตร์ฮิตปี 1979 เรื่อง When a Stranger Calls เขายังทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับภาพยนตร์เรื่อง Alien vs. Predator ซึ่งกำกับโดย พอล ดับเบิลยูเอส แอนเดอร์สัน และทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์แฟนตาซีปี 2006 เรื่อง Eragon
ในปี 2006 เขาร่วมมือกับ มาร์ตี้ โบเว่น ก่อตั้งบริษัท เทมเปิล ฮิลล์ เอนเตอร์เทนเมนต์ โดยผลงานชิ้นแรกก็คือภาพยนตร์ เรื่อง The Nativity Story และในอีกสองปีต่อมา บริษัทประสบความสำเร็จอย่างสูงเมื่อ แคเธอรีน ฮาร์ดวิค กำกับภาพยนตร์เรื่องแรกของแฟรนไชส์เรื่อง Twilight โดยภาพยนตร์เรื่อง Twilight เปิดตัวด้วยรายได้สร้างสถิติจำนวน $69.6 ล้านเหรียญ จนกวาดเงินจากทั่วโลกไปทั้งสิ้น $400 ล้าน ภาพยนตรืเรื่องนี้ยังมีภาคต่อออกมาอีก 4 ภาค (New Moon, Eclipse, Breaking Dawn – Part 1 และ Breaking Dawn – Part 2) จนทำรายได้ทั้งหมดจากทั่วโลกเกินหลัก $3 พันล้าน
ทั้งโบเว่นและก็อดฟรีย์ยังสานต่องานสร้างภาพยนตร์เพื่อเอาใจแฟนๆ วัยรุ่น และคนหนุ่มสาว ด้วยการสร้างภาพยนตร์ดราม่าโรแมนติคเรื่องฮิตอย่าง The Fault in Our Stars และ Paper Towns; Dear John, Safe Haven และ The Longest Ride
หลังจากความฮิตของภาพยนตร์เรื่อง The Fault in Our Stars ซึ่งทำรายได้จากทั่วโลกไปมากกว่า $300 ล้าน โบเว่นและก็อดฟรีย์ประสบความสำเร็จกับการผลิตภาพยนตร์แฟรนไชส์แนวไซไฟทริลเลอร์เรื่อง “The Maze Runner” จนมีภาคต่อมาอีกสองภาค ได้แก่ Maze Runner: The Scorch Trials และ Maze Runner: The Death Cure
เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ภาพยนตร์เรื่อง Love, Simon ซึ่งสร้างจากหนังสือคว้ารางวัลเรื่อง “Simon vs. The Homo Sapiens Agenda” ของ เบ็คกี้ อัลเบอร์ทัลลี่ เปิดตัวฉายพร้อมได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชม
ในปีนี้ พวกเขายังมีผลงานอีกหลายเรื่องที่จะเปิดตัวฉาย ได้แก่ ภาพยนตร์ของ แดน โฟเกลแมน เรื่อง Life Itself ซึ่งนำแสดงโดย ออสการ์ ไอแซ็ค, โอลิเวีย ไวลด์ และแอนเน็ตต์ เบนนิ่ง และภาพยนตร์เรื่อง The Hate U Give ซึ่งนำแสดงโดย อาแมนดลา สเตนเบิร์ก
มาร์ตี้ โบเว่น (MARTY BOWEN, p.g.a.) – ผู้อำนวยการสร้าง
มาร์ตี้ โบเว่น คือหุ้นส่วนบริษัทเทมเปิ้ล ฮิลล์ เอนเตอร์เทนเมนต์ บริษัทผลิตผลงานทั้งภาพยนตร์และทีวี ซึ่งก่อตั้งขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2006 โดยโบเว่นร่วมก่อตั้งบริษัทนี้กับ วิค ก็อดฟรีย์ ตลอดหนึ่งทศวรรษแรกที่เปิดบริษัทมา บริษัทแห่งนี้มีผลงานภาพยนตร์แฟรนไชส์ที่ประสบความสำเร็จหลายเรื่องด้วยกัน ได้แก่ Twilight และ Maze Runner
ผลงานชิ้นแรกของเทมเปิ้ล ฮิลล์ ได้แก่ภาพยนตร์ เรื่อง The Nativity Story และในอีกสองปีต่อมา บริษัทประสบความสำเร็จอย่างสูงเมื่อ แคเธอรีน ฮาร์ดวิค กำกับภาพยนตร์เรื่องแรกของแฟรนไชส์เรื่อง Twilight โดยภาพยนตร์เรื่อง Twilight เปิดตัวด้วยรายได้สร้างสถิติจำนวน $69.6 ล้านเหรียญ จนกวาดเงินจากทั่วโลกไปทั้งสิ้น $400 ล้าน ภาพยนตรืเรื่องนี้ยังมีภาคต่อออกมาอีก 4 ภาค (New Moon, Eclipse, Breaking Dawn – Part 1 และ Breaking Dawn – Part 2) จนทำรายได้ทั้งหมดจากทั่วโลกเกินหลัก $3 พันล้าน
ทั้งโบเว่นและก็อดฟรีย์ยังสานต่องานสร้างภาพยนตร์เพื่อเอาใจแฟนๆ วัยรุ่น และคนหนุ่มสาว ด้วยการสร้างภาพยนตร์ดราม่าโรแมนติคเรื่องฮิตอย่าง The Fault in Our Stars และ Paper Towns; Dear John, Safe Haven และ The Longest Ride
หลังจากความฮิตของภาพยนตร์เรื่อง The Fault in Our Stars ซึ่งทำรายได้จากทั่วโลกไปมากกว่า $300 ล้าน โบเว่นและก็อดฟรีย์ประสบความสำเร็จกับการผลิตภาพยนตร์แฟรนไชส์แนวไซไฟทริลเลอร์เรื่อง “The Maze Runner” จนมีภาคต่อมาอีกสองภาค ได้แก่ Maze Runner: The Scorch Trials และ Maze Runner: The Death Cure
เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ภาพยนตร์เรื่อง Love, Simon ซึ่งสร้างจากหนังสือคว้ารางวัลเรื่อง “Simon vs. The Homo Sapiens Agenda” ของ เบ็คกี้ อัลเบอร์ทัลลี่ เปิดตัวฉายพร้อมได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชม
ในปีนี้ พวกเขายังมีผลงานอีกหลายเรื่องที่จะเปิดตัวฉาย ได้แก่ ภาพยนตร์ของ แดน โฟเกลแมน เรื่อง Life Itself ซึ่งนำแสดงโดย ออสการ์ ไอแซ็ค, โอลิเวีย ไวลด์ และแอนเน็ตต์ เบนนิ่ง และภาพยนตร์เรื่อง The Hate U Give ซึ่งนำแสดงโดย อาแมนดลา สเตนเบิร์ก ผลงานภาพยนตร์อีกเรื่องของ เทมเปิ้ล ฮิลล์ เอนเตอร์เทนเมนต์ ที่อยู่ในขั้นตอนงานโพสต์โปรดักชั่น ได้แก่ The Kill Team ซึ่งกำกับโดย แดน เคล้าส์ นำแสดงโดย อเล็กซานเดอร์ สการ์สการ์ด และแน็ต วูล์ฟฟ์
ไอแซ็ค เคล้าส์เนอร์ (ISAAC KLAUSNER) – ผู้อำนวยการสร้าง
ไอแซ็ค เคล้าส์เนอร์ คือประธานแผนกภาพยนตร์ของ เทมเปิล ฮิลล์ เอนเตอร์เทนเมนต์ และได้มีส่วนในงานสร้างภาพยนตร์มากมาย อาทิเช่น The Twilight Saga, Dear John, The Fault in Our Stars และ Paper Towns
ตลอดหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา เคล้าส์เนอร์ได้ดูแลงานสร้างภาพยนตร์หลายเรื่อง อาทิเช่น ภาพยนตร์ของ เกร็ก เบอร์แลนตี เรื่อง Love, Simon ซึ่งสร้างจากนิยายคว้ารางวัลเรื่อง “Simon vs. The Homo Sapiens Agenda”; ภาพยนตร์ของ แดน เคล้าสส์ เรื่อง The Kill Team ซึ่งนำแสดงโดย อเล็กซานเดอร์ สการ์สการ์ด และแน็ต วูล์ฟฟ์; ภาพยนตร์ของ แดน โฟเกลแมน เรื่อง Life Itself และภาพยนตร์ของ จอร์จ ทิลล์แมน เรื่อง The Hate U Give
สตีเว่น สปีลเบิร์ก (STEVEN SPIELBERG) – ผู้อำนวยการสร้างบริหาร
สตีเว่น สปีลเบิร์ก คือหนึ่งในผู้สร้างภาพยนตร์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดและประสบความสำเร็จที่สุดของวงการ เขาเป็นประธานของ แอมบลิน พาร์ตเนอร์ส ซึ่งก่อตั้งในปี 2015
สปีลเบิร์กยังเป็นผู้กำกับที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาล โดยเขากำกับภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์อย่าง Jaws, E.T. The Extra-Terrestrial, ภาพยนตร์แฟรนไชส์ชุด Indiana Jones และ Jurassic Park นอกจากนี้ เขายังเป็นผู้คว้ารางวัลออสการ์ถึง 3 รางวัล
สปีลเบิร์กได้รับรางวัลออสการ์สองตัวแรก ในสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม และภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์ที่ได้รับคำชมไปทั่วโลกอย่างเรื่อง Schindler’s List ซึ่งได้รับรางวัลออสการ์ไปทั้งหมด 7 เรื่อง และยังคว้ารางวัลอื่นๆ มาอีกมากมาย
สปีลเบิร์กได้รับรางวัลออสการ์ตัวที่ 3 ในสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์ดราม่าสงครามโลกครั้งที่ 2 เรื่อง Saving Private Ryan ซึ่งทำรายได้ในประเทศสูงสุดในปี 1998 และยังได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลสูงที่สุดของปีนั้น
เขายังเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ในสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่อง Lincoln, Munich, E.T. The Extra-Terrestrial, Raiders of the Lost Ark และ Close Encounters of the Third Kind เขายังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล DGA จากภาพยนตร์เหล่านั้น รวมถึงจากภาพยนตร์เรื่อง Jaws, The Color Purple, Empire of the Sun และ Amistad
ในปี 2012 สปีลเบิร์กกำกับ แดเนียล เดย์-ลูอิส ในภาพยนตร์เรื่อง Lincoln ภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง 12 รางวัลออสการ์ และทำรายได้จากทั่วโลกไปมากกว่า $275 ล้าน
ภาพยนตร์ทริลเลอร์ดราม่าปี 2015 ของสปีลเบิร์ก เรื่อง Bridge of Spies ซึ่งนำแสดงโดย ทอม แฮงก์ส ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ 6 รางวัล ในปีเดียวกันนั้น สปีลเบิร์กยังทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับภาพยนตร์เรื่อง Jurassic World ซึ่งทำรายได้จากทั่วโลกไปมากกว่า $1.6 พันล้าน
ในเดือนธันวาคม ปี 2017 ภาพยนตร์เรื่อง The Post ภาพยนตร์ดราม่าที่ได้รับแรงบันดาลใจจากชีวิตของ แคเธอรีน แกรห์ม (เมอริล สตรีพ) เจ้าของสำนักพิมพ์ The Washington Post กับเบน แบร็ดลี่ (แฮงก์) บ.ก.ของหนังสือพิมพ์ เปิดตัวฉายทั่วโลกและโกยคำชมไปมากมาย ผลงานภาพยนตร์เมื่อเร็วๆ นี้ของสปีลเบิร์กเรื่อง Ready Player One เปิดตัวฉายเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2018 และกลายเป็นภาพยนตร์เรื่องฮิตไปทั่วโลก
สปีลเบิร์กเริ่มต้นเข้าวงการด้วยภาพยนตร์สั้นปี 1968 เรื่อง Amblin ซึ่งทำให้เขากลายเป็นผู้กำกับที่อายุน้อยที่สุดที่ได้เซ็นสัญญาระยะยาวกับสตูดิโอ เขากำกับหลายตอนของซีรีส์ทางทีวีเรื่อง Night Gallery, Marcus Welby, M.D. และ Columbo และได้รับความสนใจจากการสร้างภาพยนตร์สำหรับฉายทางทีวีในปี 1971 เรื่อง Duel สามปีต่อมา เขาประเดิมงานกำกับภาพยนตร์จอเงินเรื่องแรกด้วยเรื่อง The Sugarland Express ซึ่งเขาร่วมเขียนบทภาพยนตร์ด้วย ผลงานภาพยนตร์เรื่องต่อมาของเขา ได้แก่ Jaws ซึ่งเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่ทำรายได้เกินหลัก $100 ล้าน
ในปี 1984 สปีลเบิร์กก่อตั้งบริษัทผลิตภาพยนตร์ของเขาเอง แอมบลิน เอนเตอร์เทนเมนต์ ภายใต้ชื่อแอมบลิน เขาทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างหรือผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับภาพยนตร์ฮิตเรื่อง Gremlins, The Goonies, ภาพยนตร์แฟรนไชส์ชุด Back to the Future, Who Framed Roger Rabbit, An American Tail, Twister, The Mask of Zorro และภาพยนตร์ Men in Black ในปี 1994 สปีลเบิร์ก ได้ร่วมหุ้นกับ เจฟฟรีย์ แค็ทเซนเบิร์ก และเดวิด เกฟเฟ่น ก่อตั้งบริษัทดรีมเวิร์กส์ สตูดิโอส์ ซึ่งได้สร้างผลงานทั้งที่ได้รับคำชมและโกยรายได้ ซึ่งรวมถึงภาพยนตร์ที่คว้ารางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมติดต่อกันสามปี ได้แก่ American Beauty, Gladiator และ A Beautiful Mind ดรีมเวิร์กส์ยังอำนวยการสร้างหรือร่วมอำนวยการสร้างภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ชุด Transformers; ภาพยนตร์ดราม่าสงครามโลกครั้งที่ 2 ของ คลิ้นต์ อีสต์วู้ด เรื่อง Flags of Our Fathers และ Letters from Iwo Jima โดยเรื่องหลังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม; Meet the Parents และ Meet the Fockers และภาพยนตร์เรื่อง The Ring ภายใต้ชื่อบริษัทดรีมเวิร์กส์ สปีลเบิร์กยังกำกับภาพยนตร์เรื่อง War of the Worlds, Minority Report, Catch Me If You Can และ A.I. Artificial Intelligence
อดัม เมอริมส์ (ADAM MERIMS) – ผู้อำนวยการสร้างบริหาร
เมื่อเร็วๆ นี้ อดัม เมอริมส์ ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับภาพยนตร์แอ็กชั่นของ เดวิด อาเยอร์ เรื่อง Bright ซึ่งนำแสดงโดย วิลล์ สมิธ และโจล เอ๊ดเกอร์ตัน รวมถึงภาพยนตร์ที่ได้เข้าชิงออสการ์ ของ เอ๊ดการ์ ไรต์ เรื่อง Baby Driver เมอริมส์ยังทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับภาพยนตร์ใหม่ของ เกรต้า เจอร์วิก เรื่อง Little Women ซึ่งนำแสดงโดย เซียร์ช่า โรแนน, เอ็มม่า สโตน, ทิโมธี่ ชาลาเม่ต์, ลอร่า เดิร์น และเมอริล สตรีพ
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขา ได้แก่ ภาพยนตร์ของเอฟ แกรี่ เกรย์ เรื่อง Straight Outta Compton ซึ่งนำแสดงโดย เจสัน มิทเชลล์, โอเชีย แจ็คสัน จูเนียร์ และคอรี่ย์ ฮอว์กิ้นส์; ภาพยนตร์ของ แดเนียล เอสพิโนซ่า เรื่อง Child 44 ซึ่งนำแสดงโดย ทอม ฮาร์ดี้, นูมี่ ราเพซ และแกรี่ โอลด์แมน; ภาพยนตร์ดราม่าประวัติศาสตร์ของ ลี แดเนียลส์ เรื่อง The Butler ซึ่งนำแสดงโดย ฟอเรสต์ วิเทเกอร์, โอปราห์ วินฟรีย์ และเดวิด โอเยโลโว, ภาพยนตร์ของ เอสพิโนซ่า เรื่อง Safe House ซึ่งนำแสดงโดย เดนเซล วอชิงตัน และไรอัน เรย์โนลด์ส; ภาพยนตร์เรื่อง The Lucky Ones ซึ่งนำแสดงโดย เรเชล แม็คอดัมส์, ทิม ร็อบบินส์ และไมเคิล พีน่า และ The Hunting Party ซึ่งนำแสดงโดย ริชาร์ด เกียร์, เทอร์เรนซ์ ฮาวเวิร์ด และเจสซี่ ไอเซนเบิร์ก
เมอริมส์ยังทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับภาพยนตร์เรื่อง Breach ซึ่งนำแสดงโดย คริส คูเปอร์, ไรอัน ฟิลิปปี้ และลอร่า ลินนี่ย์ และภาพยนตร์ของ แลสส์ ฮอลล์สตรอม เรื่อง Casanova ซึ่งนำแสดงโดย ฮีธ เล็ดเจอร์, เซียนน่า มิลเลอร์, โอลิเวอร์ แพล็ตต์ และเจเรมี่ ไอร์ออนส์; ภาพยนตร์ของผู้กำกับ/ มือเขียนบท ริชาร์ด เชพพาร์ด เรื่อง The Matador ซึ่งนำแสดงโดย เพียร์ซ บรอสแนน, เกร็ก คินเนียร์ และโฮป เดวิส และภาพยนตร์เรื่อง House of D ผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของ เดวิด ดูคอฟนี่ย์ ในฐานะผู้กำกับ ซึ่งนำแสดงโดย โรบิน วิลเลี่ยมส์ ผู้ล่วงลับไปแล้ว, เทีย ลีโอนี่ และแอนตัน เยลชิน
เมอริมส์ยังอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องแรกของ บิลลี่ เรย์ ที่ได้รับคำชม เรื่อง Shattered Glass ซึ่งนำแสดงโดย เฮย์เด้น คริสเตนเซ่น, ปีเตอร์ ซาร์สการ์ด, โคลอี้ เซวิกนี่, สตีฟ แซห์น, โรซาริโอ ดอว์สัน และแฮงก์ อาซาเรีย ในฐานะผู้อำนวยการสร้าง เขายังมีผลงานภาพยนตร์หลายเรื่อง อาทิเช่น ภาพยนตร์ของ เอ๊ด โซโลมอน เรื่อง Levity ซึ่งนำแสดงโดย บิลลี่ บ๊อบ ธอร์นตัน, มอร์แกน ฟรีแมน, ฮอลลี่ ฮันเตอร์ และเคิร์สเตน ดันสต์; ภาพยนตร์ของ เจฟฟ์ แฟรงกลิน เรื่อง Love Stinks และภาพยนตร์ของ จอห์น ริดลี่ย์ เรื่อง Cold Around the Heart เขายังเป็นผู้อำนวยการสร้างร่วมให้กับภาพยนตร์เรื่อง Universal Soldier: The Return และผลงานของ HBO เรื่อง Freeway
ไลนัส แซนด์เกรน (LINUS SANDGREN, FSF) – ผู้กำกับภาพ
ก่อนหน้านี้ ไลนัส แซนด์เกรน เคยร่วมงานกับ เดเมี่ยน ชาเซลล์ และไรอัน กอสลิง มาแล้วในภาพยนตร์เรื่อง La La Land ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลออสการ์ สาขากำกับภาพยอดเยี่ยม
ก่อนหน้า to La La Land ผู้กำกับภาพชาวสวีเดนผู้นี้ เคยร่วมงานกับ เดวิด โอ รัสเซลล์ ในภาพยนตร์ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชม เรื่อง Joy และ American Hustle และร่วมงานกับ กัส แวน แซนต์ ในภาพยนตร์เรื่อง Promised Land
นาธาน โครว์ลี่ย์ (NATHAN CROWLEY) – โปรดักชั่นดีไซเนอร์
นาธาน โครว์ลี่ย์ เกิดในลอนดอน แต่ไปเติบโตที่อีสลิงตัน และเข้าเรียนที่โรงเรียนศิลปะ ไบรห์ตัน ในอังกฤษ เขาเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์จากภาพยนตร์เรื่อง The Prestige, The Dark Knight, Interstellar และ Dunkirk และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลบัฟต้าจากภาพยนตร์เรื่อง Batman Begins, The Dark Knight, Interstellar และ Dunkirk
ทอม ครอสส์ (TOM CROSS, ACE) – ผู้ลำดับภาพ
ทอม ครอสส์ คือมือลำดับภาพที่เคยได้รับรางวัลออสการ์จากภาพยนตร์เรื่อง Whiplash
ครอสส์เริ่มต้นด้วยการทำงานโฆษณาอยู่ในนิวยอร์กซิตี้ ก่อนจะผันมาทำงานกับภาพยนตร์อินดี้ เขาเป็นผู้ลำดับภาพให้กับภาพยนตร์สารคดีไซไฟของ มิเชล เนโกรพอนเต้ เรื่อง W.I.S.O.R.
เขาเคยได้ร่วมงานกับ เดเมี่ยน ชาเซลล์ ในภาพยนตร์สั้นเรื่อง Whiplash ต่อมา ได้กลับมาร่วมงานกันอีกเมื่อ Whiplash ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่องยาว จนทำให้ครอสส์ได้รับรางวัลออสการ์
ครอสส์ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล ACE Eddie Award เมื่อเขาร่วมลำดับภาพให้กับภาพยนตร์ของ เดวิด โอ รัสเซลล์ เรื่อง Joy
เขายังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ จากงานลำดับภาพให้กับภาพยนตร์ของ ชาเซลล์ เรื่อง La La Land รวมถึงคว้ารางวัล Critics’ Choice Award และ ACE Eddie Award ด้วย
เมื่อเร็วๆ นี้ เขาลำดับภาพให้กับภาพยนตร์คาวบอย เรื่อง Hostiles ผลงานกำกับของ สก็อตต์ คูเปอร์ หลังจากนั้น เขาได้กลับมาร่วมงานกับผู้กำกับ ไมเคิล เกรซี่ย์ ในภาพยนตร์ของทเวนตี้ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์ เรื่อง The Greatest Showman
แมรี่ โซเฟรส (MARY ZOPHRES) – ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย
แมรี่ โซเฟรส ได้เคยร่วมงานกับพี่น้องโคเอนเป็นประจำ โดยได้ออกแบบเครื่องแต่งกายให้กับภาพยนตร์เรื่อง Fargo; The Big Lebowski; O Brother, Where Art Thou?; The Man Who Wasn’t There; Intolerable Cruelty; The Ladykillers; No Country for Old Men; Burn After Reading; A Serious Man; True Grit; Inside Llewyn Davis และ Hail, Caesar! ภาพยนตร์ใหม่เรื่อง The Ballad of Buster Scruggs คือผลงานเรื่องที่ 14 ที่เธอร่วมงานกับพี่น้องโคเอน และยังทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายให้กับภาพยนตร์เรื่อง The Hudsucker Proxy ของพี่น้องโคเอนด้วย
เธอยังออกแบบเสื้อผ้าให้กับภาพยนตร์ของ สตีเว่น สปีลเบิร์ก หลายต่อหลายเรื่อง อาทิเช่น The Terminal; Catch Me If You Can ซึ่งทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลบัฟต้า และ Indiana Jones and the Kingdom of the Crystal Skull
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของโซเฟรส ได้แก่ ภาพยนตร์ของพี่น้องฟาร์เรลลี่ เรื่อง Dumb and Dumber, Kingpin และ There’s Something About Mary; ภาพยนตร์ของ ทิโมธี่ ฮัตตัน เรื่อง Digging to China; ภาพยนตร์ของ โอลิเวอร์ สโตน เรื่อง Any Given Sunday; ภาพยนตร์ของ เทอร์รี่ ซไวคอฟฟ์ เรื่อง Ghost World; ภาพยนตร์ของ แบร็ด ซิลเบอร์ลิ่ง เรื่อง Moonlight Mile; ภาพยนตร์ของ บรูดน่ บาร์รีโต้ เรื่อง View from the Top; ภาพยนตร์ของ นอร่า เอฟรอน เรื่อง Bewitched; ภาพยนตร์ของ โจ คาร์นาแฮน เรื่อง Smokin’ Aces; ภาพยนตร์ของ โรเบิร์ต เร็ดฟอร์ด เรื่อง Lions for Lambs; ภาพยนตร์ของ รูเบน เฟลสเชอร์ เรื่อง Gangster Squad, ภาพยนตร์ของ คริสโตเฟอร์ โนแลน เรื่อง Interstellar , ภาพยนตร์ของ จอน แฟฟโรว์ เรื่อง Iron Man 2 และ Cowboys & Aliens; ภาพยนตร์ของอเล็กซ์ เคิร์ตซ์แมน เรื่อง People Like Us และเมื่อเร็วๆ นี้ ก็คือ La La Land ซึ่งทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์
จัสติน เฮอร์วิตซ์ (JUSTIN HURWITZ) – ผู้แต่งดนตรีประกอบ
จัสติน เฮอร์วิตซ์สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในปี 2008 เขาเคยแต่งดนตรีประกอบให้กับภาพยนตร์สามเรื่องแรกของ เดเมี่ยน ชาเซลล์ ได้แก่ Guy and Madeline on a Park Bench, Whiplash และ La La Land และได้รับสองรางวัลออสการ์, สองรางวัลลูกโลกทองคำ, สองรางวัล Critics’ Choice Awards, สองรางวัลแกรมมี่ และหนึ่งรางวัลบัฟต้า จากภาพยนตร์เรื่อง La La Land







































