วันที่ 20 มีนาคม พ.ศ.2568 ณ โรงแรมปทุมวันปริ๊นเซส
การกีฬาแห่งประเทศไทย กรุงเทพมหานครสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดกรุงเทพมหานคร มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่
และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) และประกาศเจตนารมณ์ “การกีฬาไทยไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า”
เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการรณรงค์ไม่สูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าในวงการกีฬาไทยศ.เกียรติคุณ นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ เปิดเผยว่า
ตามที่ขณะนี้มีการระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าอย่างรุนแรงในเด็กนักเรียนทั่วประเทศที่อายุน้อยลงไปจนถึงชั้นประถมศึกษา
และการสำรวจพบอัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้าของเด็กนักเรียนประถมปลาย มัธยมต้นสูงถึง 20-30% จากหลาย ๆ การสำรวจ รวมทั้งเริ่มพบว่ามีวัยรุ่นสูบบุหรี่ไฟฟ้าที่ผสมยาเสพติด เช่น ยาเค และยาซอมบี้
นายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร
ได้มีนโยบายให้ทุกฝ่ายเร่งแก้ปัญหาการระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในเด็กนักเรียนอย่างเร่งด่วน ทั้งการปราบปรามแหล่งนำเข้าและขายบุหรี่ไฟฟ้าทุกช่องทางรวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรณรงค์ให้ความรู้แก่สังคมเด็กและเยาวชนถึงอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้าวงการกีฬาโดยเฉพาะนักกีฬาทุกแขนงมีบทบาทสำคัญในการเป็นแบบอย่างที่ดีที่ไม่สูบบุหรี่ทุกชนิด รวมทั้งบุหรี่ไฟฟ้า
ให้แก่เด็กและเยาวชนทั้งนี้ในอดีตบริษัทบุหรี่มีการใช้นักกีฬาเป็นสื่อบุคคลในการโฆษณาสินค้าบุหรี่
แต่กฎหมายทั่วโลกได้ห้ามการกระทำเช่นนี้แล้ว มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่จึงมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่การกีฬาแห่งประเทศไทยสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดกรุงเทพมหานคร และ สสส. จะร่วมรณรงค์ “การกีฬาไทยไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า”นายก้องศักดิ์ ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) กล่าวว่า การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.)จะร่วมกับมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ และสํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และหน่วยงานกีฬาต่าง ๆเพื่อทำให้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือที่ลงนามในวันนี้ได้เกิดการขับเคลื่อนจริง
ด้วยการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับ บทบาทหน้าที่ของการกีฬาแห่งประเทศไทยให้หน่วยงานภายใต้สังกัดดำเนินการจัดสถานที่ปลอดบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า ตามพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560, สร้างความรับรู้เกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของนักกีฬาไทยทุกคนไม่สูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าเพื่อเป็นต้นแบบของเด็กและเยาวชนให้ไม่ตกเป็นเหยื่อและเป็นทาสของบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า,
สนับสนุนให้พื้นที่หรือสถานที่ที่ใช้ในการจัดการแข่งขันกีฬาทุกประเภทเป็นพื้นที่ปลอดบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า ด้วยการติดสัญลักษณ์ห้ามสูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าให้เห็นชัดเจน พร้อมการพูดประกาศเสียงตามสายตลอดระยะเวลาการแข่งขัน
มีการติดตามผลการดำเนินงานสร้างค่านิยมไม่สูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าในหน่วยงานภายใต้สังกัด รวมถึงจะไม่รับทุนอุปถัมภ์หรือ CSR จากอุตสาหกรรมยาสูบทุกประเภท ตามข้อห้ามในมาตรา 35 พระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.)กล่าวเพิ่มเติมว่า กรุงเทพมหานครจะเน้นส่งเสริมให้หน่วยงานด้านกีฬาทุกประเภทในสังกัดกรุงเทพมหานคร โดยนักกีฬาทุกคนไม่สูบบุหรี่ทุกประเภท รวมทั้งบุหรี่ไฟฟ้า
และจัดสถานที่ปลอดบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าตามพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560
และสนับสนุนการดำเนินงานของกรุงเทพมหานคร
ในการดำเนินงานด้านการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรคเพื่อสร้างสุขภาวะในนักกีฬา และเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่เด็กและเยาวชนกรุงเทพมหานคร รวมถึงไม่รับทุนอุปถัมภ์หรือ CSR จากอุตสาหกรรมยาสูบทุกประเภท ตามข้อห้ามในมาตรา 35 พระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560 และสนับสนุนงานของสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดกรุงเทพมหานคร ให้ร่วมบูรณาการกับฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งสำนักอนามัย และทุก ๆ สำนักเพื่อเร่งการแก้ปัญหาการสูบบุหรี่ไฟฟ้าของเด็กและเยาวชน นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่าการส่งเสริมให้คนไทยออกกำลังกายเพื่อที่จะทำให้สุขภาพดีขึ้นลดโอกาสเกิดโรค เป็นแผนงานหลักหนึ่งของ สสส. การรณรงค์ “งานกีฬาไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า”
มีประโยชน์ต่อนักกีฬาและผู้เข้าร่วมงานกีฬาในหลายด้าน โดย 1) ช่วยรักษาสมรรถภาพทางกาย เพราะบุหรี่ไฟฟ้ามีสารนิโคติน ซึ่งส่งผลต่อระบบไหลเวียนโลหิต ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น และอาจลดความสามารถในการส่งออกซิเจนไปยังกล้ามเนื้อ ซึ่งนักกีฬาที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้าอาจมีอาการเหนื่อยง่าย หายใจติดขัด 2) ป้องกันผลกระทบต่อปอดและระบบทางเดินหายใจเพราะไอระเหยจากบุหรี่ไฟฟ้าอาจมีสารพิษ เช่น ฟอร์มาลดีไฮด์ และโลหะหนัก ซึ่งอาจทำลายเซลล์ปอดและลดประสิทธิภาพในการหายใจ นักกีฬาที่ต้องใช้ความอึด เช่น นักวิ่ง นักฟุตบอล นักว่ายน้ำ อาจได้รับผลกระทบโดยตรงจากปอดที่อ่อนแอลง 3) ลดความเสี่ยงของอาการบาดเจ็บและฟื้นตัวเร็วขึ้น เนื่องจากนิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้าอาจทำให้หลอดเลือดหดตัวส่งผลให้การไหลเวียนโลหิตลดลง
ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ร่างกายฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บได้ช้าลง 4)สร้างสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพในงานกีฬา
เพราะงานกีฬาควรเป็นพื้นที่ที่ส่งเสริมสุขภาพและ
แรงบันดาลใจให้คนมาออกกำลังกาย การไม่มีบุหรี่ไฟฟ้าช่วยให้บรรยากาศดีขึ้นไม่มีควันหรือกลิ่นรบกวน และ 5)
ส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของนักกีฬา
ซึ่งนักกีฬามักเป็นแบบอย่างให้กับเยาวชนและประชาชนทั่วไปการไม่ใช้บุหรี่ไฟฟ้าจึงช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและสนับสนุนพฤติกรรมสุขภาพที่ถูกต้อง ทั้งนี้ในงานวันนี้ยังมีการเสวนา เรื่อง “การสูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้ามีผลกระทบต่อนักกีฬาอย่างไร”เพื่อเป็นการให้ข้อมูลในเชิงประจักษ์จากคุณหมอ นพ.ธนีย์ ธนียวันอาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคปอด วิกฤตบำบัด และการปลูกถ่ายปอด ประเทศสหรัฐอเมริกา, พญ.พิมพ์ชนก จันทร์สวัสดิ์
กุมารแพทย์โรคระบบทางเดินหายใจ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ศูนย์รังสิต), พลตรี นพ.ภูษิตเฟื่องฟู ศัลยแพทย์ โรงพยาบาล พระมงกุฎเกล้าและผู้ทรงคุณวุฒิ สำนักปลัดกระทรวงกลาโหม และตัวแทนนักกีฬา นำโดย นาวาอากาศเอก ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน อดีตนักฟุตบอลและผู้แทนนักกีฬาวอลเลย์บอลหญิง
#การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.)
#สมาคมกีฬาแห่งจังหวัดกรุงเทพมหานคร
#มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่
#สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)