ยังปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง สำหรับภาพยนตร์เรื่อง The Nun ที่ล่าสุดก็ปล่อยมาอีก 5 คลิป ที่คุณจะได้สัมผัสความหลอนกับเรื่องราวเมื่อแม่ชีสาวจากโบสถ์เงียบแห่งหนึ่งในโรมาเนีย ได้ปลิดชีวิตตนเองลง นักบวชผู้ที่ถูกอดีตตามหลอกหลอน และแม่ชีฝึกหัดจากวาติกัน จึงถูกส่งไปเพื่อสืบหาสาเหตุ พวกเขาค้นพบสาสน์ลับจากปีศาจ ไม่เพียงชีวิตที่ตกอยู่ในอันตราย ทว่ายังรวมไปถึงชะตากรรม และจิตวิญญาณของพวกเขาเอง พวกเขาต้องเผชิญกับพลังงานที่มุ่งร้ายในรูปลักษณ์แม่ชีปีศาจ ที่เคยสร้างความสยดสยองแก่ผู้ชมทั่วโลกมาแล้วใน The Conjuring 2 เช่นเดียวกับโบสถ์ที่ต้องกลายมาเป็นสถานที่ต่อสู้อันน่าสยดสยองระหว่างผู้มีชีวิตและวิญญาณร้าย
ควบคุมงานสร้างโดย เจมส์ วาน ร่วมกับ ปีเตอร์ ซาฟราน ซึ่งเจมส์ วาน ยังร่วมเขียนบทกับ แกรี่ ดาวเบอร์แมน อีกด้วย กำกับภาพยนตร์โดย โคริน ฮาร์ดี้ นำแสดงโดย เดเมี่ยน บิเชอร์ (รับบทเป็น หลวงพ่อเบิร์ค), ทาอิสซา ฟาร์มิก้า (รับบทเป็น ซิสเตอร์ไอรีณ), โจนาส โบลเก้ (รับบทเป็น ฟรานซี่) ชาวบ้านในท้องที่, ชาร์ล็อต โฮป (รับบทเป็น ซิสเตอร์วิคตอเรีย) ผู้อยู่ประจำโบสถ์, อิงกริด บิซู (รับบทเป็น ซิสเตอร์โออานา) และบอนนี่ อาร์รอน (รับบทเป็น เดมอน นัน) ซึ่งเป็นเดิมที่เธอเคยเล่นใน The Conjuring 2
“The Nun – เดอะ นัน” เข้าฉายแล้ว วันนี้ ในโรงภาพยนตร์
ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/TheNunMovieThailand
#TheNunMovie
The Nun – Daniel Clip (ซับไทย)
The Nun – God Ends Here Clip (ซับไทย)
https://youtu.be/csCKq-m5-mM
The Nun – Don’t Stop Praying Clip (ซับไทย)
The Nun – Holy Fire Clip (ซับไทย)
The Nun – Sister Clip (ซับไทย)
ภาพยนตร์สยองขวัญระทึกขวัญจาก New Line Cinema เรื่อง “The Nun” ได้เข้าไปสำรวจความลึกลับในจักรวาล “Conjuring” ที่สถิติภาพยนตร์ได้สร้างความหลอนให้ผู้ชมทั่วโลกไปแล้ว
ผลงานความหลอนภาคใหม่กำกับฯ โดยโคริน ฮาร์ดี้ (“The Hallow”) และอำนวยการสร้างฯ โดยเจมส์ วาน และ ปีเตอร์ ซาฟราน ซึ่งเขาได้อำนวยการสร้างฯ แฟรนไชส์ทุกภาคในเรื่อง “The Conjuring” เป็นการค้นหาเรื่องราวต้นกำเนิดปีศาจแม่ชีวาแลคที่เคยปรากฎตัวครั้งแรกในเรื่อง “The Conjuring 2”
เมื่อแม่ชีสาวรายหนึ่งที่ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวในโบสถ์ที่โรมาเนียมาครอบงำชีวิตของเธอ บาทหลวงผู้มีอดีตที่ตามหลอกหลอนและจุดเริ่มต้นแห่งคำสาบานสุดท้ายของเธอถูกส่งไปสอบสวนที่นครวาติกัน พวกเขาได้พบกับความลับความลับอันชั่วร้ายที่ไม่ได้เสี่ยงแค่ชีวิตพวกเขา แต่รวมถึงความศรัทธาและจิตวิญญาณของพวกเขาด้วย พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับพลังความชั่วร้ายจากแม่ชีปีศาจตัวเดียวกับที่เคยสร้างความหลอนให้ผู้ชมไว้ในเรื่อง “The Conjuring 2” เมื่อโบสถ์กลายเป็นสนามประลองความหลอนระหว่างมนุษย์กับปีศาจร้าย
ภาพยนตร์เรื่อง “The Nun” นำแสดงโดย ดาเมียน บิเชอร์ ที่เคยเข้าชิง Oscar (“A Better Life”) มารับบทคุณพ่อบูร์ค , เทสซา ฟาร์ไมกา (ภาพยนตร์ทางทีวี “American Horror Story”) มารับบทซิสเตอร์ไอรีน, โจนาส โบลเคต (“Elle”) มารับบท เฟรนชี ชาวบ้านท้องถิ่น ชาร์ล็อตต์ โฮพ (ภาพยนตร์ทางทีวี “Game of Thrones”) มารับบทซิสเตอร์วิคโทเรียของโบสถ์, อินกริด ไบซู (“Toni Erdmann”) มารับบทซิสเตอร์โอนา และ บอนนี อารอนส กลับมารับบทเดิมที่เคยแสดงนำในเรื่อง “Conjuring 2”
ฮาร์ดี้กำกับฯ เรื่อง “The Nun” จากบทภาพยนตร์ของแกรี่ ดาวเบอร์แมน (“It”) เนื้อเรื่องโดย ดาวเบอร์แมน และ เจมส์ วาน ริชาร์ด บรีเนอร์, วอลเตอร์ ฮามาดะ, เดฟ นูสแตดเตอร์, แกรี่ ดาวเบอร์แมน และ ทอดด์ วิลเลียมส์ อำนวยการสร้างบริหารฯ
ผู้อยู่เบื้องหลังที่มาร่วมงานกับฮาร์ดี้ ได้แก่ ผู้กำกับภาพ แม็กซีม อเล็กซานเดอร์ (“The Voices,” “Annabelle: Creation”), ผู้ออกแบบฉาก เจนนิเฟอร์ สเปนซ์ (“Annabelle: Creation,” “Lights Out,” “Insidious”), ผู้ลำดับภาพ มิเชล อัลเลอร์ (“Lights Out,” “Paranormal Activity: Ghost Dimension”) และ เค็น แบล็คเวล ( “Ouija” “Friday the 13th”) ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ชารอน กิลแฮม (ภาพยนตร์ทางทีวี “Black Mirror”) ดนตรีโดย อาเบล คอร์ซีนิวสกี้ (“Nocturnal Animals”).
New Line Cinema นำเสนอผลงานจาก Atomic Monster / Safran Company เรื่อง “The Nun”
ภาพยนตร์จะจัดจำหน่ายในระบบธรรมดา ระบบไอแมกซ์ และระบบคุณภาพสูงโดยวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส
รายละเอียดการถ่ายทำ
พระเจ้าสิ้นสุดที่นี่!
ปีศาจร้ายในร่างของผู้เคร่งศรัทธากลับมาแล้วในภาพยนตร์สยองขวัญปนระทึก เรื่อง “The Nun” ผลงานล่าสุดในจักรวาล “Conjuring” ของเจมส์ วาน ซึ่งเรื่องราวในภาพยนตร์จะเป็นจุดเริ่มต้นของความสยองที่ปรากฎบนใบหน้าของเธอ
ผู้ชมเคยหลอนกับปีศาจแม่ชีวาลัคที่คอยรังควานในจินตนาการของลอร์เรน วอร์เรน จนทำให้เธอหวาดกลัวอย่างในภาพยนตร์สยองขวัญยอดนิยม “The Conjuring 2 ในเรื่อง “The Nun” เป็นการต่อสู้ระหว่างความดีกับนักบวชที่ถูกความชั่วร้ายครอบงำ เรื่องราวในช่วงแรกของเธอไม่ได้มีแค่เรื่องผีแม่ชีที่เข้ามาก่อกวน
แฟนๆ มีศรัทธาในภาพยนตร์โดยเฉพาะตัวละครแม่ชี ผู้กำกับฯ โคริน ฮาร์ดี้ เล่าว่า “สิ่งที่ผมรักในตัวแม่ชีคือครั้งแรกที่เห็นเธอรู้สึกว่าดูลึกลับดี ไม่ต้องอธิบายมากเกี่ยวกับเธอ หน้าตาและท่างของเธอสร้างความตะลึงให้ได้เลย เธอมีความสยองอยู่ในตัวอย่างเพอร์เฟ็กต์ สิ่งที่คลุมใบหน้า คลุมร่างกายและแขนขา ทำให้เธอดูเหมือนไม่ใช่มนุษย์ รวมถึงการที่เธอเคลื่อนไหวโดยเท้าไม่แตะพื้นด้วย”
ผู้อำนวยการสร้างฯ เจมส์ วาน อธิบายว่า “ไอเดียของสิ่งที่มีศรัทธาในพระเจ้าและเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างแม่ชีที่กลายเป็นปีศาจ มีเรื่องราวลึกลับสร้างความระทึกให้ผู้ชมได้อย่างถึงขีดสุด”
ในความเป็นจริงแล้วตั้งแต่ช่วงที่มีการปรากฎตัวบนจอ วานและผู้อำนวยการสร้างฯ ปีเตอร์ ซาฟรานรู้ว่าแม่ชีกุมความรู้สึกของผู้ชมไปแล้ว ซาฟรานเล่าว่า “เธอโผล่มามีบทบาทเพียงน้อยนิด มันเลยน่าทึ่งที่เธอส่งผลต่อผู้ชมได้มาก เรารู้ทันทีว่าแม่ชีควรมีเรื่องราวที่มาที่ไป ทุกคนอยากรู้ว่าเธอมาจากไหน.. และทำไม”
วานและซาฟรานกำหนดให้ฮาร์ดี้มาควบคุมหลังจากที่เห็นเขาในเรื่อง “The Hallow” ฮาร์ดี้เล่าว่า “มันเหมือนฝันที่เป็นจริงตอนได้รับสาย ผมรู้ว่ามันจะทำให้ผมทำงานด้วยความกระตือรือร้นอย่างเต็มที่ และตื่นเต้นที่ได้สร้างผลงานตอนใหม่ของจักรวาล ‘Conjuring’”
ซาฟรานเล่าว่า “เราทุกคนรักหนังของโครินและคิดว่าเขาเหมาะสมที่สุด เขาเป็นผู้สร้างภาพยนตร์ที่มีความเชี่ยวชาญ สร้างตัวละครเดินเรื่องได้เก่ง และเขารู้วิธีสร้างความเครียดและสร้างงความหลอนเพื่อให้ผู้ชมกรี๊ดออกมาได้”
ผู้เขียนบทฯ แกรี่ ดาวเบอร์แมน ผู้ทำหน้าที่อำนวยการสร้างบริหารฯ ได้รับเลือกให้มาเขียนบทหลังจากที่เขาสร้างความสำเร็จไว้อย่างยิ่งใหญ่ในเรื่อง “Annabelle” และสร้างเรื่องราวต้นกำเนิดของตุ๊กตาผีสิง “Annabelle: Creation” ซึ่งมีการกล่าวถึงการปรากฎตัวของแม่ชีอย่างย่อๆ
“บทภาพยนตร์มีความเข้มข้นมาก” ฮาร์ดี้กล่าว “แกรี่เป็นนักเขียนที่มีพรสวรรค์มาก เขาเข้าใจหนังแนวนี้ดี เพราะไม่ต่างจากผมเลย เขารักความสยองขวัญและมีความหลงใหลในการแสดงมันออกมา เขาสร้างสมดุลให้เรื่องราวด้วยไอเดียสำคัญและสร้างตัวละครที่ดูน่าสนใจให้พบกับเรื่องราวสยองขวัญ เนื้อเรื่องเรียกความสนใจให้เราได้ตั้งแต่ต้นเรื่องได้อย่างไม่ปล่อย”
เดเมียน ไบเชอร์ ผู้รับบทคุณพ่อบูร์คเล่าถึงตอนอ่านบทฯ ว่าเขารู้สึกหลงใหลกับเรื่องราวเหนือธรรมชาตินี้ทันที “ผมรักฉากที่ดูตื่นเต้นและคิดว่าคุณพ่อบูร์คเป็นตัวละครที่เข้มข้นสุดเท่าที่ผมเคยอ่านบทมา และบทก็เขียนไว้อย่างดีมาก เข้มข้นสุดๆ และมีความลึกซึ้งในด้านต่างๆ”
ผู้รับบทซิสเตอร์ไอรีนที่เข้ามาใหม่ เทสซ่า ฟาร์ไมก้า รู้สึกหลงใหลในบทภาพยนตร์ เธอยืนยันว่า “ฉันสนุกกับการอ่านบทของแกรี่มากค่ะ ฉันคิดว่ามันบอกให้รู้ว่าเขาเป็นนักเขียนแบบไหน ในเรื่องราวที่มีความระทึกขวัญและหลอกหลอน เขาสามารถผสมความตลกให้ผู้ชมได้สนุกตลอดเรื่องรได้ มันรู้สึกเหมือนการเล่นรถไฟเหาะที่ตลอดทางตื่นเต้นกับการขึ้นและลง”
สำหรับการสร้างเรื่องราวดาวเบอร์แมนและวานจมอยู่กับสไตล์โกธิคที่มีความลึกลับ และถ่ายทอดสู่ฉากของเรื่องราวอย่างปราสาทในทรานซิลวาเนีย ประเทศโรมาเนีย สถานที่เต็มไปด้วยความหลอนอย่างชัดเจน ในหนังปราสาทจะถูกจำลองเป็นโบสถ์และเป็นโบสถ์ที่มีอายุหลายปี ยิ่งทำให้มีความน่ากลัวมากขึ้น โบสถ์ตั้งแยกตัวออกมาเดี่ยวๆ และแม่ชีถูกแยกตัวออกจากโลกส่วนอื่น
ดาวเบอร์แมนยืนยันว่า “พวกเธออยู่ที่ป้อมปราการขนาดใหญ่ทางตอนล่างของ Carpathian Mountains อย่างเพียงลำพัง ที่นั่นมีทางเดินทอดยาว มีทางลอดซุ้ม และมีห้องสวดมนต์ขนาดใหญ่อยู่ด้านใน เป็นสิ่งที่เราไม่ค่อยเห็นทั่วไป นึกภาพของหญิงสาวที่เดินเข้ามาในประตูปราสาท เมื่อเทียบกับฉากหลังขนาดใหญ่แล้วเราดูตัวเล็กมาก ที่นั่นมีความลึกลับและสถานที่หลายแห่งที่จะมีความตกใจเกิดขึ้นได้ มันทำให้ทุกอย่างดูน่ากลัวและเพิ่มความรู้สึกนั้นมากขึ้น”
วานเล่าเสริมว่า “กลุ่มแม่ชีจะถูกจำกัดอยู่ในโบสถ์แห่งนี้ และพวกเธอต้องรับมือกับความชั่วร้ายที่แทรกซึมผ่านเข้ามา พยายามขัดขวางความชั่วร้ายที่จะเข้ามาสู่โลกของเรา ซึ่งเป็นการเล่าเรื่องแนวโกธิคสุดคลาสสิค”
และที่ป้อมปราการแห่งนี้มีความเสี่ยงสูงสุด…เพราะไม่มีสิ่งใดเป็นอย่างที่ตาเห็น
อภัยให้การล่วงละเมิดของเรา
แม่ชีสาวคนหนึ่งในโบส์ที่ทรานซิลวาเนียได้ให้คำมั่นเรื่องการทำบาปที่ร้ายแรงขั้นสุด คือต้องเอาชีวิตของเธอ ตอนนี้ที่โบสถ์ต้องแน่ใจว่ายังมีการเคร่งศาสนาอยู่หรือความชั่วร้ายได้ครอบงำโบสถ์แห่งเซนต์คาร์ท่าไปแล้ว
ในการรับมือกับสถานการณ์เลวร้าย วาติกันได้ขอความช่วยเหลือจากคุณพ่อบูร์ค บาทหลวงจากฟิลาเดเฟีย และเป็นเพียงคนเดียวที่เคยผ่านการทดสอบเรื่องปาฏิหาริย์และปรากฎการณ์แห่งความลึกลับ
ซาฟรานเล่าถึงบทของบาทหลวงที่เขียนมาอย่างดีสำหรับเดเมียน ไบเชอร์ ชาวเม็กซิโก เขาเล่าว่า “เรารู้ว่าเราต้องการคนที่มีความเป็นคุณพ่อบูร์คอยู่ในตัว แต่ต้องถ่ายทอดพลังแห่งศรัทธาออกมาได้ด้วย เดเมียนเป็นนักแสดงที่เก่ง เขาสามารถถ่ายทอดบุคลิกตัวละครออกมาได้อย่างน่าเชื่อถือ เรารักเขาจากผลงานที่ผ่านมา เขาเป็นคนแรกและคนเดียวที่เราติดต่อไป”
ไบเชอร์อธิบายถึงบทของเขาว่า “คุณพ่อบูร์คเป็นคนที่มีศรัทธาและเป็นนักล่าปีศาจ เขาเชื่อว่าจะช่วยทั้งโลกและปีศาจได้ในเวลาเดียวกัน เขาเป็นนักต่อสู้ในเครื่องแบบที่ต่างออกไป เขาเองก็ถูกความชั่วร้ายของตัวเองตามหลอกหลอน และนั่นเป็นการต่อสู้ที่เขาต้องเผชิญทุกวันในชีวิต”
ครั้งสุดท้ายคุณพ่อบูร์คต้องรับมือกับปีศาจที่มีก่อกวนการทำหน้าที่ของเขาจนเกิดเรื่องเศร้าขึ้น เวลาผ่านไปนานเกือบทศวรรษ เขายังรักษาระยะปลอดภัยระหว่างเขากับการค้นหาข้อมูลอยู่ เพราะเขายังต่อสู้กับเหตุการณ์ที่มารบกวนเขาอยู่ แม้ว่าเขาจะไม่สบายใจสักเท่าไหร่ คุณพ่อบูร์คก็ยังทำตามคำปรารถนาของคาร์ดินัล _
“เมื่อเรากล่าวคำสาบานออกไปแล้ว เหมือนเราให้คำมั่นที่จะเป็นผู้รับใช้พระเจ้าไปตลอดชีวิต” ไบเชอร์กล่าว “เหมือนทหารที่ไม่สามารถขัดคำสั่งได้ เราไม่ปฏิเสธทุกการร้องขอ”
คุณพ่อบูร์ไม่คำนึงถึงข้อจำกัดของตัวเอง เขายอมรับภารกิจนี้ สำหรับการเตรียมตัวเขาได้นำอุปกรณ์เกี่ยวกับทางศาสนาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 มาปัดฝุ่น อาทิเช่น น้ำศักดิ์สิทธิ์ สร้อยคอเงิน ไม้กางเขน คัมภีร์ไบเบิล และเดินหน้าไปเผชิญกับความไม่แน่นอน ในการควบคุมของวาติกันคุณพ่อบูร์คได้รับภารกิจร่วมกับซิสเตอร์ไอรีน แม่ชีใหม่แห่งโรงพยาบาลในเซนต์วินเซนต์ที่ประเทศอังกฤษ
เทสซ่า ฟาร์ไมก้า เล่าว่า “ฉันคิดว่าซิสเตอร์ไอรีนเชื่อว่านี่เป็นภารกิจที่ไม่ยุ่งยากอะไร เธอไม่รู้ว่ามันจะรุนแรงขนาดไหน หรือเธอต้องรวบรวมความกล้าไปขนาดไหน และฉันไม่คิดว่าเธอพร้อมสำหรับการปรากฎตัวของปีศาจในโบสถ์”
ไบเชอร์เล่าว่า “ตอนแรกขนาดของเธอเป็นตัวลวงคุณพ่อบูร์ค แต่ถึงแม้ซิสเตอร์ไอรีนจะตัวเล็กและดูบอบบาง เขาได้เรียนรู้ว่าเธอก็มีความแกร่งขึ้นมาได้ และฉันคิดว่าคุณพ่อชื่นชมกับเรื่องนั้น ซิสเตอร์ไอรีนเป็นคนเข้มแข็งมากเพราะเธอมีจิตใจที่แกร่ง”
ซิสเตอร์ไอรีนเองก็ไม่ต่างจากคุณพ่อบูร์คที่เคยผ่านเรื่องราวเจ็บปวดในอดีต และตอนเด็กต้องเจอกับปัญหาที่ทำให้เธอมาอยู่ในคณะแม่ชี และนั่นคือเหตุผลที่เธอยังไม่กล่าวคำสาบาน “เธอยังต้องจัดการกับปีศาจในตัวเธออยู่” ฟาร์ไมก้าเล่าว่า “ตอนเป็นเด็กเธอเห็นภาพในจินตนาการและฝันที่หลอกหลอนเธอ พอตอนโตเป็นสาวโบสถ์ต้อนรับเธอและสนับสนุนให้เธออุทิศชีวิตแด่พระเจ้าด้วยการเป็นแม่ชี เธอก็ยินดีที่จะทำตามเพราะนั่นทำให้ภาพต่างๆ จางหายไป แต่เธอก็ยังไม่พบคำตอบสำหรับเรื่องเหล่านั้น ฉันคิดว่าเหตุผลที่เธอเปิดใจสู่การผจญภัยครั้งนี้คือต้องการค้นหาความจริง เธอกำลังหาคำตอบให้อนาคตของเธอว่า “กำลังทำสิ่งที่ควรจะทำอยู่หรือเปล่า?”
การที่ซิสเตอร์ไอรีนยังตั้งข้อสงสัยในศรัทธาของตัวเองเป็นความรู้สึกที่คุณพ่อบูร์คเข้าใจเป็ฯอย่างดี และผู้กำกับฯก็รักความสมดุลของทั้ง 2 ตัวละครที่เหมือนหยินหยาง
“คุณพ่อบูร์คเป็นบาทหลวงที่ดูแปลกและมีอายุแล้ว” ฮาร์ดี้กล่าว “เขามีความใส่ใจในตัวซิสเตอร์ไอรีนแบบพ่อลูก เขาเคยผ่านเรื่องราวในอดีตที่ปวดร้าวมา และไม่อยากให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นกับเธอ เขาคอยกันเธอจากการถูกรังควาญทั้งทางร่างกายและจิตใจ ซิสเตอร์ไอรีนมีความใสซื่อและขาดความมั่นใจ เมื่อเธอจะเผชิญกับความกลัวเธอต้องค้นหาความแกร่งในตัวเธอให้ได้ .
“เสน่ห์ในตัวของพวกเขาแสดงออกมาผ่านการแสดงของเทสซ่าและเดเมียน” ฮาร์ดี้เล่าต่อว่า “การแสดงของพวกเขาดูสมจริงและน่าเชื่อถือมาก”
บางทีอาจจะมากเกินไปด้วยซ้ำ ฟาร์ไมก้าทุ่มเทกับตัวละครของเธอมากจนกระทั่งเก็บไปฝันร้ายในช่วงที่ถ่ายทำ ฮาร์ดี้เล่าว่า “เทสซ่าเป็นนักแสดงที่มีพรสวรรค์พิเศษ และการสร้างความกลัวขึ้นมาเพื่อตัวละครของเธอ เธอต้องเผชิญกับบภาพหลอนและช่วงเวลาที่น่ากลัวทั้งหลาย เธอเดินทางไกลเพื่อไปพบกับซิสเตอร์ไอรีนเพื่อสิ่งที่เธอต้องการ ฉะนั้นผู้ชมจะสัมผัสมันได้ ผมเป็นหนี้เธอในเรื่องนั้นจริงๆ”
ฟาร์ไมก้ายอมรับว่า “การร่วมงานกับโครินมีความน่าทึ่งมาก เพราะเขามีความเป็นมืออาชีพ มีความสร้างสรรค์ และมันดีมากที่ได้สัมผัสความรู้สึกกลัว มันไม่ใช่ความกลัวธรรมดาทั่วไป จะมีอะไรเกิดขึ้นได้อีก? มีเรื่องความเศร้าด้วยมั้ย? จะเกิดขึ้นเป็นเวลานานหรือเปล่า? เขากระตือรือร้นกับทุกสิ่งและดูเขาเป็นคนอ่อนโยนมากด้วย.. จนกระทั่งเขาเอารูปผีแม่ชีมายื่นให้ตรงหน้าและรู้สึกว่า ‘ไม่คิดเลยจินตนาการของคุณจะสร้างเรื่องน่ากลัวแบบนี้ได้’” เธอกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
แม้ว่าวาติกันให้คำมั่นกับคุณพ่อบูร์คไว้ว่าซิสเตอร์ไอรีนเคยผ่านประสบการณ์มาแล้ว เธอบอกกับเขาว่าเธอไม่เคยไปที่นั่นมาก่อน และไม่ได้มีแค่ความลึกลับที่พวกเขาต้องค้นหาเท่านั้น แต่ยังมีทั้งปราสาทและเรื่องราวระหว่างพวกเขาด้วย ทั้งคู่ต้องอยู่กับอดีตที่ทำให้พวกเขาทรมานไม่ว่านั่นคือพลังอะไรก็ตาม แต่นั่นก็ทำให้พวกเขาเกิดความเข้าอกเข้าใจกัน
นอกจากนั้นทั้งสองนักแสดงยังสนิทกันในช่วงที่อยู่ในโรมาเนียด้วย “เราไม่ต้องใช้เวลาเป็นเดือนเพื่อเข้าถึงภาพยนตร์เลย เราแค่ลงมือเดินหน้า ผมรู้สึกโชคดีมากที่มีเทสซ่า” ไบเชอร์เล่าต่อว่า “ผมรู้สึกชื่นชมเธอมาก เธอมีคุณสมบัติที่ชวนทึ่งไม่ใช่แค่ในฐานะของนักแสดง แต่รวมถึงโดยทั่วไปด้วย”
ต่างฝ่ายต่างมีความชื่นชมกัน “เดเมียนเป็นคนตลกค่ะ เขามีบุคลิกที่ชัดเจนมาก” ฟาร์ไมก้ากล่าว “เขามีความร่าเริง พลัง และความรักในทุกอย่างเต็มที่” เธอออกความเห็นว่า “ในฐานะของนักแสดง เขาน่าทึ่งมากค่ะและใส่อารมณ์เต็มที่กับบทคุณพ่อบูร์ค”
เมื่อซิสเตอร์ไอรีนและคุณพ่อบูร์คเดินทางออกจากโรม และทิ้งโลกของปี 1952 เอาไว้เพื่อมุ่งหน้าสู่หมู่บ้านเบียร์แทนในทรานซิลวาเนีย มันเหมือนนาฬิกาเดินย้อนเวลากลับไปและได้เข้าสู่ยุคสมัยโบราณ ถนนที่เป็นดินโคลนเป็นถนนสายหลักและมีการใช้รถม้าเป็นพาหนะของพวกเขา
เฟรนชี่เป็นที่รู้จักในเมืองเขาเป็นคนในพื้นที่และสามารถพาพวกเขาไปที่โบสถ์ได้ เขาโชคร้ายที่พบเห็นการฆาตกรรมขณะที่ทำการส่งเสบียง เฟรนชี่เตือนพวกเขาให้ระวังเกี่ยวกับโบสถ์ เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ในเมืองเมื่อนานมาแล้วก่อนที่เขาจะพบศพที่นั่น
ผู้สร้างภาพยนตร์ได้คัดเลือกนักแสดงชาวฝรั่งเศสโจนาส บลูเคต์ เพื่อมารับบทชาวฝรั่งเศส-แคนาเดียนที่เชื่อเรื่องผีสาง เขาบอกว่าตัวเองเป็น “แฟนพันธุ์แท้” เรื่อง “The Conjuring” และภาคต่อ เขาเล่าว่า “ผมดูหนังทั้ง 2 เรื่องหลายครั้งในโรงภาพยนตร์ และผมรักบทของเรื่อง ‘The Nun’ การได้มีส่วนร่วมในเรื่องนี้ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีมากครั้งหนึ่งในการทำงานของผม”
ฮาร์ดี้คิดว่าตัวละครของบลูเคต์ มีความสดใสด้วยมุกตลกที่เป็นเอกลักษณ์ของดาวเบอร์แมน ซึ่งเป็นการเล่าเรื่องราวได้ดีอีกระดับหนึ่ง เขายืนยันว่า “เฟรนชี่เป็นคนที่มีความน่ารักและเป็นส่วนหนึ่งในสามระหว่างบาทหลวงและแม่ชี เขาอาจมองโลกในอีกมุมที่ต่างไปแต่ต้องมาอยู่ด้วยกัน มันมีมุกตลกอยู่ในนั้นและโจนาสก็ถ่ายทอดออกมาได้อย่างดี”
ดาวเบอร์แมนกล่าวเสริมว่า “สำหรับผมแล้วเฟรนชี่เป็นตัวละครที่มีความสำคัญ เพราะเราต้องการความตลกและสิ่งที่มาหักล้างความกลัว ช่วงที่มีความร่าเริงทำให้ความสยองดูหลอนมากขึ้น โจนาสเข้าถึงความลึกลับได้ดีแต่ก็มีความตลกมากด้วย ผมรักสิ่งที่เขาถ่ายทอดสู่ตัวละครเฟรนชี่”
ขณะที่คุณพ่อบูร์คถือน้ำมนต์ส่วนซิสเตอร์ไอรีนถือสร้อยประคำ เฟรนชี่ถือขวานและปืน เขาอธิบายว่า “เฟรนชี่เป็นคนชอบใช้กำลังและแข็งแรกมาก เขาเป็นคนบ้านๆ ตอนแรกดูเขาเป็นชาวฝรั่งที่มีเสน่ห์สนุกสนานที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขาดูดี”
แต่อย่างไรก็ตามเฟรนชี่มีอะไรมากกว่าที่ตาเราเห็น
บลูเคต์เล่าต่อว่า “เฟรนชี่ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นที่โบสถ์ แต่เขารู้ว่าที่นั่นไม่น่าอยู่แน่ๆ และเขาไม่อยากจะอยู่ที่นั่นเลย เขาต้องทะเลาะกับตัวเองเพราะเขาไม่อยากทิ้งซิสเตอร์ไอรีน เขารู้สึกอยากปกป้องเธอไม่ต่างกับคุณพ่อบูร์ค”
หอคอยปราสาทที่ดูเด่นเป็นสง่ามีโบสถ์ตั้งอยู่ด้านหน้า ม้าของเฟรนชี่สัมผัสได้ถึงอันตรายจึงหยุดอยู่กับที่ ทำให้พวกเขาต้องเดินเท้าเข้าไปและเห็นภาพที่ดูเป็นลางร้าย …
แม้ว่าศพของแม่ชีจะถูกเคลื่อนย้ายไปแล้วเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน แต่คราบเลือดบนบันไดยังเป็นรอยชื้นอยู่ มันเป็นไปได้ยังไงกัน?
อย่าทำให้เราถูกลวง
ตลอดทั้งเรื่องแม่ชีในโบสถ์เซนต์คาร์ท่าปรากฏในแบบต่างๆ เพื่อก่อกวนและสร้างความกลัว เมื่อซิสเตอร์ไอรีนพยายามหาความจริงเกี่ยวกับวิญญาณที่ซ่อนอยู่และปริศนาที่ซิสเตอร์วิคตอเรียทิ้งเอาไว้ตอนเสียชีวิต
การคัดเลือกนักแสดงมารับบทวิคตอเรีย ชาร์ล็อต โฮพเล่าว่าก็ไม่ต่างจากเพื่อนนักแสดงในเรื่อง ผีแม่ชีได้สร้างความประทับใจเอาไว้ให้เธอ “ฉันจำฉากในเรื่อง ‘The Conjuring 2’ ตอนที่มีภาพวาดได้ เราไม่รู้ว่านั่นคือภาพวาด แล้วเธอก็โผล่ออกมา มันเป็นอะไรที่น่ากลัวมาก เธอทำให้ฉันกลัวไปอีกนานเลย และตอนนี้มีหนังที่เล่าเรื่องของเธอ… ถือเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจมากค่ะ”
ในส่วนบทของเธอ โฮพเล่าว่า “ฉันไม่อยากพูดอะไรมากค่ะ แต่บอกได้ว่าเธอคือตัวเร่งเหตุการณ์ต่างๆ ให้คลี่คลายในหนัง และซิสเตอร์วิคตอเรียเองก็เคยผ่านเรื่องยากลำบากมาเหมือนกัน” เธอกล่าวอย่างมีลับลมคมใน
ฮาร์ดี้ชื่นชมในความทุ่มเทของโฮพเพื่อแสดงบทบาทของเธอว่า “ชาร์ล็อตเป็นนักแสดงที่สวยและเป็นคนที่ดูดีมาก มันสนุกดีที่ได้ซ่อนมันไว้ด้วยความน่ากลัว และเธอก็ยินดีกับมันด้วย” เขาหัวเราะ
กุญแจอีกดอกในการสืบสวนคือซิสเตอร์โอน่า ซึ่งเป็นคนทำลายกฎของเหล่าซิสเตอร์เพื่อเตือนซิสเตอร์ไอรีนถึงเรื่องปีศาจ พวกเธอต้องต่อสู้กับเรื่องความเคารพบูชาไปตลอดชีวิต การเก็บตัวอยู่ในทางศาสนาไม่ช่วยให้พวกเธอเลิกสวดมนต์ได้เลย… ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
ผู้สร้างภาพยนตร์คัดเลือกนักแสดงชาวโรมาเนียน อินกริด ไบซู มารับบทซิสเตอร์โอน่า “ฉันรู้สึกว่าซิสเตอร์โอน่าเห็นตัวเองผ่านซิสเตอร์ไอรีน จุดเริ่มต้นของเธอและสิ่งที่เธอเคยมีคือความหวัง เธอจึงไปขอความช่วยเหลือ” ไบซูกล่าว
ซาฟรานเล่าว่า “ผมรู้สึกหลงใหลในด้านการเคารพบูชา มันนำไปสู่ฉากที่ผมคิดว่าผู้ชมจะรัก และอินกริดก็คือส่วนสำคัญของช่วงนั้น”
ไบซูเล่าว่าเธอหลงใหลกับบทเพราะเธอตอนเด็กเคยอยากเป็นแม่ชี สำหรับการเตรียมตัวในโบสถ์ เธอได้ไปเยี่ยมชมโบสถ์และนั่งอยู่กับความเงียบเป็นชั่วโมง ในฉากเธอเก็บหูฟังไว้ใกล้มือเพื่อให้ได้ยินเสียงสวดมนต์ ไบซูอธิบายว่า “ฉันได้เรียนรู้ว่าความเงียบสำคัญขนาดไหนในโลกของการอยู่ในศาสนา เราจะพูดคุยกับความปรารถนาเท่านั้น นั่นคือเรื่องสำคัญสำหรับซิสเตอร์โอน่าที่ต้องเผชิญกับมัน และเสี่ยงต่อการถูกทำโทษเพื่อคุยกับซิสเตอร์ไอรีนถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่นั่น เธอรู้ว่าเธอต้องพบกับผลลัพธ์ที่ตามมา”
ยังมีซิสเตอร์อีกคนหนึ่งที่ไม่หวาดกลัวแต่เป็นผู้ควบคุมมความกลัวด้วยความเข้าใจโลกอีกใบหนึ่งในโบสถ์ บอนนี่ อารอนส์กลับมารับบทที่เคยแสดงไว้ในเรื่อง “The Conjuring 2” ซึ่งเป็นอีกครั้งที่ต้องแสดงเป็นผีแม่ชี
เธอเล่าถึงตอนที่มาออดิชั่นบทในภาคก่อน อารอนส์เล่าว่า “ฉันได้ยินแค่ ‘หนังของเจมส์ วาน’ นั่นก็เพียงพอแล้วค่ะ ฉันคิดว่าเขาเป็นคนเก่งมาก ฉันเป็นแฟนผลงานของเขาเลย ฉันยังไม่ได้เห็นบท แค่มีคนบอกให้ฉันไปที่นั่นและทำให้ทุกคนหวาดกลัว” เธอยิ้ม
และมันก็ได้ผล
ซาฟรานเล่าว่า “เจมส์มีจินตนาการที่ไม่เหมือนใครในเรื่องการสร้างรูปแบบของผีแม่ชี เราได้เจอใครหลายน แต่ช่วงที่เราเจอบอนนี่ ใบหน้าของเธอมีความโดดเด่นไม่เหมือนใครจนพูดว่า ‘นี่ล่ะที่เราต้องการ เธอต้องเป็นแบบนี้’”
ฮาร์ดี้เองก็ไม่สามารถนึกภาพคนอื่นมารับบทนำในเรื่อง “The Nun” ได้ “ถือเป็นเรื่องสำคัญมากที่เรามีบอนนี่มาร่วมงานอีกครั้ง ในชีวิตจริงเธอไม่ได้น่ากลัวเลย แต่เวลาเธอแต่งหน้าให้อยู่ในร่างแม่ชี เธอถ่ายทอดความน่ากลัวได้ดีมาก น่าตกใจสุดขีดเลย” เขายอมรับ
ทีมนักแสดงเองก็เห็นด้วยเช่นกัน ไบเชอร์เล่าว่า “ผมจำตอนที่เข้าฉากสวดมนต์ได้ ผมรู้ว่าบอนนี่ต้องโผล่มาข้างหลังในร่างผีแม่ชี แค่เงาของเธอก็ทำให้ขนที่อยู่ด้านหลังคอของผมลุกได้แล้ว น่ากลัวมากเลยครับ”
ฟาร์ไมก้าเองก็เห็นความหลอน “ฉันพยายามเต็มที่แล้วโดยเฉพาะกลางคืน ไม่ให้ตัวเองคิดถึงใบหน้าของปีศาจที่โผล่มา” เธอยืนยัน
อารอนส์รู้สึกตื่นเต้นที่มีส่วนช่วยในการสร้างความประทับใจครั้งล่าสุดนี้ “นั่นคือสิ่งที่เราอยากทำเสมอในฐานะของนักแสดง ได้สิงเข้าไปอยู่ในความคิดของผู้ชม ฉันรักที่ผู้ชมจากทั่วโลกเห็นฉันแล้วบอกว่าผีแม่ชีตามหลอนพวกเขาจนทำให้ฝันร้าย”
แมรี่ผู้ชี้ทาง
“The Nun” ถ่ายทำทั่วประเทศโรมาเนีย ในฉากที่ถ่ายทำได้จริงและโดยรอบบูชาเรสต์และทรานซิลวาเนีย ปราสาท 2 แห่งที่มีชื่อเสียงในยุคศตวรรษที่ 14 และป้อมปราการสมัยก่อนที่มีความงดงามที่คลาสสิคชวนหลอน ฉากด้านในบางส่วนสร้างขึ้นในโรงถ่ายที่สตูดิโอ Castel Film ในบูชาเรสต์
สำหรับการช่วยให้หนังได้ภาพแนวโกธิค ฮาร์ดี้ขอความช่วยเหลือจากผู้กำกับภาพ แม็กซิเม่ อเล็กซานเดอร์ และผู้ออกแบบฉาก เจนนิเฟอร์ สเปนซ์ ซึ่งเคยร่วมงานกันมาแล้วในเรื่อง “Annabelle: Creation” พวกเขาขอความช่วยเหลือจากทีมงานที่รวมตัวกันจากสหรัฐฯ ยุโรปและโรมาเนีย
อเล็กซานเดรมีผลงานภาพยนตร์มาแล้ว 8 เรื่องที่โรมาเนีย เขาเล่าว่า “โครินรักษาจินตนาการของเขาไว้ได้เป๊ะ และถ่ายทอดไอเดียออกมาได้ตามบทแต่ละหน้า มันวิเศษมากครับที่ได้สร้างสีสันและรูปร่างให้ภาพวาดขาวดำนั้น”
สเปนซ์เล่าว่า “สิ่งที่ดีที่สุดเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้และการเดินทางมาที่โรมาเนียคือการออกแบบปราสาทของจริง เวลาที่เราเดินผ่านทางเดินจะสัมผัสได้ถึงพลังของสิ่งมีชีวิตจากอดีต มันเป็นบรรยากาศที่ดีและมีความหลอนในสถานที่ช่วงกลางคืน” รถม้าลากคือยานพาหนะที่ใช้กันปกติอย่างที่เห็นบ่อยๆ โดยแพะและแกะนำกลับมาใช้ในฉาก รวมถึงค้างคาว การขนศพด้วยเท้า ฝนและกบที่ที่ช่วยสร้างบรรยากาศแบบสมัยก่อนขึ้นมาได้
ขณะที่สถานที่ในชนบทได้เพิ่มบรรยากาศที่ดูไม่สะอาดตา ซึ่งสร้างความท้าทายให้ทีมงานฝ่ายสร้างสรรค์ของฮาร์ดี้ “แม็กซิเม่เป็นตากล้องที่มีพรสวรรค์ด้วยมุมมที่ที่เหลือเชื่อ” ผู้กำกับฯ กล่าว “เขาพร้อมที่จะลงมือทำทุกอย่างและนำเทคโนเครนมาใช้ในสถานที่ลำบากบางแห่ง ซึ่งถือเป็นงานยากสำหรับเจนนิเฟอร์และทีมงานของเธอที่ต้องสร้างและปรับปรุงปราสาท ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านพักของเราที่เบอร์ชาเรสต์ 7 ชั่วโมง เธอถ่ายทอดสภาพแวดล้อมที่งดงามสำหรับภาพยนตร์ได้จริงๆ”
อเล็กซานเดรอธิบายถึงสไตล์ของภาพยนตร์ว่า “มีความเป็นยุค 70 ด้วยหมอกควันและมีความขัดแย้งกันสูงมาก ในหนังแนวนนี้เราเล่นกับแสงเงาได้มากโดยการเน้นแสงจ้าไปที่จุดหนึ่ง จากนั้นสร้างวามมืดให้ได้มากที่สุดเท่าที่เราต้องการ”
แม้ว่าจะมีกลิ่นไอของแนวโกธิค “The Nun” ยังคงมีสไตล์ที่ชัดเจนจากหนัง “Conjuring” ทุกภาค อเล็กซานเดรเล่าว่า “แม้จะก้าวสู่อนาคตหรือย้อนไปอดีตกี่ปีในการเล่าเรื่องราว ก็ยังคงมีสไตล์ตามความเชื่อแบบเจมส์ที่ปรากฎในภาคแรก เหมือนผู้ที่มีความชำนาญมาอย่างยาวนาน และถ่ายทำด้วยกล้องจริงให้ได้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ โครินมีวิธีทำงานแบบนั้น”
ความโดดเด่นของเรื่อง “The Nun” มาจากการใช้กล้องในแบบต่างๆ เพื่อใช้ถ่ายทำมุมมองต่างๆ ของตัวละคร อเล็กซานเดรอธิบายว่า “นี่เป็นการเดินทางของคุณพ่อบูร์คและซินเตอร์ไอรีน เธออยู่ในความคิดของซิสเตอร์ไอรีนและจินตนาการของเธอมีความบอบบางกว่า สำหรับฉากของเธอเราใช้กล้อง Steadicam เพราะทำให้ผู้ชมเห็นความแตกต่างว่าอะไรจริงและอะไรไม่จริง เวลาที่เราดูจากมุมมองของคุณพ่อบูร์ค เราจะใช้กล้องแฮนด์เฮลด์เพราะเขาอยู่ในช่วงเวลาที่ตื่นเต้น และทุกอย่างเกิดขึ้นกับเขาจริง”
ทรานซิลวาเนีย
ปราสาทคอร์วิน
สำหรับการตามหาโบสถ์แห่งเซนต์คาร์ท่าของพวกเขา ผู้สร้างภายพนตร์ต้องบินไปที่บูชาเรสต์ จากนั้นขับรถไปที่ทรานซิลวาเนีย พวกเขาใช้เวลาหลายชั่วโมงเพื่อเดินทางเข้าไปที่หมู่บ้านในเขตพื้นที่สำคัญของโรมาเนีย ที่ Hunedoara พกเขาได้พบกับปราสาทคอร์วิน เป็นสิ่งก่อสร้างต้นแบบตั้งอยู่ใกล้กับภูเขาตั้งแต่ศตวรรษที่ 14
ดาวเบอร์แมนเล่าว่า “เราอยู่ใจกลางทรานซิลวาเยและผมก้าวลงจากรถ ดูปราสาทหลังแรกที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต มันสวยงามมากจนทำให้ผมลืมหายใจไปเลย”
สเปนซ์ต้องสร้างผลงานครั้งใหญ่ที่ปราสาท เพราะประตูทางเข้าของจริงมีสะพานที่ยาวมากและมีคูน้ำอยู่ด้านล่าง เพื่อความเหมาะสมของเรื่องราวและการแสดงที่จำเป็นสำหรับภาพยนตร์ ทีมงานของสเปนซ์ต้องสร้างทางเข้าขึ้นมาใหม่ทางด้านหลังปราสาท ทีมงานของเธอปรับระดับพื้นเพื่อขึ้นโครงสร้าง จากนั้นนำทีมงานมาสร้างกำแพงเพิ่ม โดยมีหินผสมอยู่ในกำแพงของเดิมอยู่แล้ว สเปนซ์จ้างช่างฝีมือท้องถิ่นเพื่อช่วยสร้างบันไดหินขนาดใหญ่เป็นจุดที่พบการฆาตกรรม “บางส่วนมีการปั้นและแกะสลักให้ดูเหมือนหินมีคำว่า “ผู้ทำบาป” โดยมีรอยเลือดอยู่ในนั้นด้วย” เธอเล่ารายละเอียด
ฉากของสเปนซ์ดูหลงใหลมากในช่วงที่ไบเชอร์ก้าวเข้าไปในครั้งแรก เขาคิดว่าเป็นทางเข้าจริงของปราสาท โยเจ้าของปราสาทรู้สึกดีใจมากที่พวกเขาเพิ่มฉากนั้นเขาไปโดยไม่สร้างความเสียหายให้สถานที่เดิม เพื่อนำมาพัฒนาปราสาทสำหรับนักท่องเที่ยวในอนาคต
ต้นไม้ทั้งหมดถูกย้ายเข้ามาปูกเพื่อสร้างบรรยากาศที่ดูเป็นธรรมชาติ และมีการเพิ่มไม้กางเขนอีกนับร้อยเข้าไป นอกจากนั้นทีมของสเปนซ์ยังสร้างรูปปั้นพระนางแมรี่ไว้ในสนามรอบโบสถ์ที่ถ่ายทำในปราสาทคอร์วินอีกด้วย
การตกแต่งฉากที่ดูน่าเชื่อถือของสเปนซ์ยังรวมถึงเฟอร์นิเจอร์และสิ่งประดิษฐ์จากเวียนนาและโรมาเนียด้วย “ในเรื่องราวแม่ชีครองปราสาทตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เราเลยอยากให้มันดูสมจริงมากที่สุด เพื่อให้ห้องต่างๆ ดูอบอวบไปด้วยเรื่องราวในประวัติศาสตร์” เธอกล่าว
สีสันที่สเปนซ์เลือกใช้ได้ยึดจากเครื่องแต่งกายสีขาวดำของแม่ชีเป็นหลัก “โครินกับฉันคุยกันว่าจะใช้สีสันเล็กน้อย เพื่อให้ตัวละครแม่ชีมีความโดดเด่น เราใช้สีเขียวเยอะมากเพื่อสร้างความรู้สึกในทางโลก” สเปนซ์กล่าว
และสีแดง ฮาร์ดี้เข้าใจดีว่ามีการสื่อถึงเลือดที่ใช้ในภาพยนตร์ หลังจากที่เกิดเหตุฆาตกรรม เขาใช้เลือดถังหนึ่งสาดลงไปที่พื้นบนเท้าของเขา จากนั้นมีการลงสีทีหลังเพื่อให้ดูนองเลือดมากขึ้น “การสร้างเลือดจะต่างออกไปขึ้นอยู่กับว่ามันอยู่นิ่ง เคลื่อนไหว ไหลออกไป หรือสูบฉีดผ่านท่อ” เขาถึงขั้นลองบ้วนเลือดออกมาพร้อมกับทีมงาน เพื่อช่วยให้มันได้ทิศทางที่ถูกต้องอีกด้วย
ไม่ต่างจากหนังในจักรวาล “Conjuring” บาทหลวงรับเชิญมาเข้าฉากเพื่อให้พรกองถ่าย แต่ในเวลาจริงกลับเจออุปสรรคในอีกรูปแบบหนึ่ง วันที่บาทหลวงจากคริสตจักรออร์ทอดอกซ์ คุณพ่อคอสมินมีกำหนดมาที่ปราสาทคอร์วิน ทีมงานถูกขวางทางมาที่กองถ่ายไม่ได้ จนกระทั่งฝูงแพะเคลียร์พื้นที่ถนนเรียบร้อย
ปราสาทเบธเล็น
เมื่อปราสาทคอร์วินมีพื้นที่ไม่เพียงพอต่อการถ่ายทำ ผู้สร้างภาพยนตร์จึงเลือกปราสาทหลังที่ 2 เพื่อจำลองเป็นโบสถ์ โดยตั้งอยู่ในหมู่บ้านของคริสทางตะวันตกของทรานซิลวาเนีย ปราสาทเบธเล็นออกแบบโดยสถาปนิกจากยุคกลางของปราสาทคอร์วิน ระหว่างที่เดินทางไปคริส ทีมงานต้องพบกับความสกปรกและกลิ่นเหม็นไหม้ในจุดเดิมทุกวันอย่างไม่มีเหตุผล ในความเชื่อของคนท้องถิ่น บางคนเชื่อว่าน่าจะมีวิญญาณร้ายสิงอยู่ในปราสาทเก่า
ปราสาทเบธเล็นเป็นแบบอย่างของสำนักแม่ชีที่โบสถ์ คุณพ่อบูร์คและซิสเตอร์ไอรีนถูกร้องขอให้อยู่ช่วงกลางคืนและเริ่มเกิดเหตุการณ์วุ่นวายที่นั่น สเปนซ์อธิบายว่า “ทุกห้องยังสร้างขึ้นไม่เสร็จและดูไม่เป็นระเบียบ ไม่มีหน้าต่างบานไหนใช้งานได้ ที่นั่นมีแผ่นผ้าใบว่างเปล่า มีเพียงสิ่งมีชีวิตบางอย่างที่อยู่ตรงนั้นซึ่งฉันเลือกจะให้อยู่ต่อไป เช่น งูที่ปรากฎอยู่บนเพดาน” สเปนซ์ยังมีช่างประจำถิ่นสร้างหน้าต่างและประตูขึ้นมาใหม่หลังจากที่ของเก่าเกิดความเสียหายด้วย “มันไม่ใช่แค่ช่วยเหลือภาพยนตร์ของเรา แต่ยังถือเป็นเรื่องดีที่ได้ตอบแทนสถานที่ๆ เราถ่ายทำกันด้วย” เธอกล่าวเสริม
เบธเล็นยังมีบ้านน้ำแข็งที่เพอร์เฟ็กต์รวมถึงสถานที่สำหรับสร้างเป็นสุสานในโบสถ์ ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญและเป็นฉากที่มีความน่ากลัวมาก ทีมของสเปนซ์สร้างสุสานขึ้นมาใหม่ทั้งหมด เพิ่มด้วยป้ายหิน ไม้กางเขน และระฆังที่ใช้ตั้งแต่สมัยโบราณเพื่อป้องกันการรบกวนจากสิ่งชั่วร้าย ปกป้องพวกเขาจากความตายที่มาขัดขวาง
ป้อมโมโนโซเอีย
ป้อมโมโนโซเอียเป็นสถานที่แห่งที่ 3 ที่ผู้สร้างภาพยนตร์เลือกในทรานซิลวาเนีย พื้นที่รกร้างของกองทัพมีทั้งอุโมงค์สำหรับโบสถ์ที่ทอดยาวไปสู่ห้องใต้ดิน โดยห้องใต้ดินมีทางยาวเหมือนวงกตที่แคบ กลิ่นเหม็นอับ มืด และทำให้ฮาร์ดี้รู้สึกหวาดกลัวได้
ฮาร์ดี้ใช้แง่ดีของสถานที่แต่ละแห่งและนำมาประกอบเข้ากันในโฟโต้ชอปตอกลางคืน เพื่อสร้างแผนที่ภาพให้ทีมงานของเขาสบรรยากาศในฉากขึ้นมาจนเป็นโบสถ์แห่งเซนต์คาร์ท่า
ดาวเบอร์แมนเล่าว่า “ทุกอย่างลงตัวเข้ากันอย่างงดงาม โบสถ์แห่งเซนต์คาร์ท่าเหมือนออกมาจากหนังสยองขวัญของแฮมเมอร์เลย ที่นั่นตั้งอยู่บนเขาและมีไม้กางเขนล้อมรอบ ทุกอย่างลงตัวมากครับ”
“มันไม่ธรรมดาเลย” ซาฟรานกล่าว “เมื่อเราวางแผนงานตลอดทั้งเรื่องแล้ว เราจะรู้สึกเหมือนอยู่ในปราสาทหลังเดียวกันตลอดเวลาเพราะมันดูต่อเนื่องกัน ถือว่าเรามีทีมงานถ่ายทำที่มหัศจรรย์มาก”
ซึ่งนี่ไม่ใช่แค่เรื่องฝีมือเล็กๆ เพราะอเล็กซานเดรต้องจัดวางสถานที่จริงและเรื่องของแสงสว่างที่ต่างกันไปด้วย “การถ่ายทำในโบสถ์มีความยุ่งยากมาก เพราะเรามีสถานที่ต่างกันและต้องประกอบเข้ากับที่โรงถ่าย” ตากล้องก่าว “ผมคิดว่ามีเพียงคนเดียวที่รู้ว่าประตูและทางเดินเชื่อมต่อกันยังไงจากฉากต่างๆ คือโคริน ทุกวันเราจะคอยถามว่า ‘ตอนนี้เราอยู่ไหน? เราต้องไปทางซ้ายหรือขวา?” เขาหัวเราะ
อีกฉากหนึ่งที่มีความซับซ้อนในการถ่ายทำคือที่อุโมงค์ป้อมโมโนโซเอีย รวมถึงทางเดินยาวที่ซิสเตอร์ไอรีนพบใต้โบสถ์ กางเขนนับร้อยเห็นได้ชัดสำหรับการป้องกันและเพิ่มจำนวนมากขึ้นในทุกปี ทีมงานของสเปนซ์ได้แขวนไม้กางเขนทั่วทางยาวแทนการยึดติดไว้บนผนัง เพื่อทำให้มันดูมีการเคลื่อนไหวอย่างน่ากลัว
สำหรับฉากที่แม่ชียืนนิ่ง ฮาร์ดี้อยากสร้างภาพหลอนที่มีการขยับบนหนังขึ้นมา ฮาร์ดี้เล่าว่า “รูปภาพที่อยู่ด้านหลังเธอเหมือนผีแม่ชีจะเอื้อมถึงตัวซิสเตอร์ไอรีน เพราะแม่ชีไม่ได้ขยับไปไหน ผมอยากทำให้ภาพดูน่ากลัวทั้งๆ ที่แม่ชีไม่ได้มาแตะต้องอะไร เธอแทบจะสะกดจิตซิสเตอร์ไอรีนไปเลย”
สำหรับการสร้างความสมบูรณ์ให้ฉาก สเปนซ์ได้ออกแบบทางยาวที่มีกำแพงขึ้นมาซึ่งสามารถถอยหลังได้จริง ฮาร์ดี้และอเล็กซานเดรวางแผนและติดตั้งกล้องบนทางยาว 100 ฟุตขึ้นมาที่ทางเดินมืดๆ เลนส์กล้องซูมไปที่ซิสเตอร์ไอรีนและแม่ชี ขณะที่ทีมของอเล็กซานเดรจะดึงภาพถอยออกมา และหมุนกล้องไป 360 องศา “มันไม่ง่ายเลย ห้องใต้ดินที่มีทางเดินยาวมืด มีการซูมภาพไปที่ตัวพวกเขา จากนั้นดึงภาพออกมาและหมุนภาพเป็นวงกลม จนเหมือนทางเดินยาวในตึกหมุนรอบตัวเองและเธอไม่มีทางหนีไปได้” ฮาร์ดี้กล่าว
ระหว่างที่พวกเขาเตรียมตัวกัน ฮาร์ดี้ก็พบประสบการณ์เหนือธรรมชาติ “แม้ว่าผมจะเป็นแฟนหนังสยองขวัญและใช้ชีวิตไปกับการสร้างสัตว์ประหลาด ลึกๆ แล้วผมเป็นคนขี้สงสัย ผมยังรอเวลาที่จะได้สัมผัสเรื่องเหนือธรรมชาติที่ผมเชื่ออย่างเต็มตัว… และมันก็เกิดขึ้นที่ป้อมแห่งนั้น”
ฮาร์ดี้เล่าต่อว่า “มีกล้องวงจรปิดอยู่ตรงทางเดินหลักในพื้นที่มืดสนิท เพราะการเคลื่อนไหวกล้องในทางยาวต้องอาศัยรอกขนาดใหญ่ ซึ่งมีข้อจำกัดเรื่องทางเข้าและทางออก ผมเดินเข้ามาและเห็นคน 2-3 คนนั่งบนเก้าอี้ทางซ้ายมือผม ผมทักทายและนั่งอยู่ข้างหลังเขา ดูที่จอมอนิเตอร์ราว 15 นาทีในช่วงที่เราทำการซักซ้อมกัน ผมรู้สึกตื่นเต้นที่มันได้ผลและหันไปรออบๆ พูดว่า “ว้าว เห็นนั่นมั้ย? มันเพอร์เฟ็กต์มาก!’ และไม่มีใครอยู่ตรงนั้น ไม่มีเก้าอี้สักตัวด้วยซ้ำ”
สถานที่อื่นในทรานซิลวาเนียยังรวมถึงซิงฮิโซร่า บ้านเกิดของวลาดนักเสียบหรือที่รู้จักกันในนามท่านเคาท์แดร็คคิวล่า; คอปซ่า มาร์; ปราสาทโมโกโซเอียถูกจำลองเป็นโรงพยาบาลแห่งเซนต์วินเซนต์ที่คุณพ่อบูร์คและซิสเตอร์ไอรีนพบกัน และปราสาท Parliamentary ในบูชาเรสต์ที่เป็นวาติกัน
บูชาเรสต์
Castel Film Studio
เมื่อมีการห้ามไม่ให้ถ่ายทำด้านในโบสถ์โรมาเนีย สเปนซ์และทีมงานของเธอได้สร้างโบสถ์แห่งเซนต์คาร์ท่าขึ้นมาในโรงถ่ายที่ใหญ่สุดของ Castel Film Studio ใน Izvorani ประเทศโรมาเนียด้านนอกบูชาเรสต์ ฉากของโบสถ์ตั้งอยู่ที่โบสถ์ Chiddingly Parish ในหมู่บ้านที่ฮาร์ดี้โตขึ้นทางอีสต์ซัสเซ็กซ์ ประเทศอังฤษ
สเปนซ์เกิดไอเดียจะปรับฉากของโบสถ์ให้กลายเป็นห้องสุสาน ที่คุณพ่อบูร์คและซิสเตอร์ไอรีนได้พบกับหัวหน้าคณะแม่ชีผู้ดูแลโบสถ์เป็นครั้งแรก ฮาร์ดี้เล่ารายละเอียดว่า “ไอเดียของเจนปรับเปลี่ยนมุมมองต่างๆ เธอสร้างผลงานได้น่าทึ่งมากและสามารถย้ายผนังออกไปได้จนสร้างบันไดได้สุดทาง ตอนที่ผมยืนตรงนั้น ลืมไปเลยว่าเป็นห้องเดียวกันกับที่เธอออกแบบรายละเอียดไว้”
สัญลักษณ์ของห้องสุสานคือมีหลุมฝังศพ 4 หลุที่มีหน้ากากของนักแสดงจากใบหน้าของฮาร์ดี้ ดาวเบอร์แมน อเล็กซาเนดร และผู้อำนวยการสร้างฯ ไมเคิล เคลียร์ รวมถึงหน้ากากบนผนังที่มาจากแฮร์รี่ บอยด์ ผู้ช่วยผู้กำกับฯ คนแรก
อีกฉากหนึ่งที่มีขนาดใหญ่ในโรงถ่ายอยู่ที่ห้องใต้ดินในโบสถ์ ซึ่งต้องใช้เป็นห้องขัง จากมุมสูงจะเห็นว่าห้องใต้ดินมีกากบาทที่มีวงกลมเป็นจุดศูนย์กลาง ซึ่งเป็นจุดเด่นที่เห็นได้ในหนังทั้งเรื่อง
ฉากแอคชั่นสำคัญที่ห้องใต้ดินของโบสถ์ ฟาร์ไมก้าต้องอยู่บนสายเคเบิลและชอบมันมาก เธอยืนยันว่า “เหตุผลหนึ่งที่หนังเรื่องนี้นุกมากคือมีการแสดงออกทางร่างกายและมีฉากผาดโผนที่เราต้องแสดง เราใช้เวลาถ่ายทำเป็นอาทิตย์เพื่อฉากที่มีความเข้มข้น มีบทพูดและช่วงแห่งความดราม่า จากนั้นต้องกระโจนเข้าใส่เพื่อให้ได้ความรู้สึกของฉากแอคชั่นผจญภัย”
ฮาร์ดี้ชื่นชมในความกระตือรือร้นของทีมนักแสดง “พวกเขาต้องใช้แรงแสดงฉากผาดโผนของตัวเองเยอะมาก ต้องอยู่บนสายเคเบิล ต้องลงไปอยู่ใต้น้ำ และพร้อมสำหรับฉากแอคชั่นทุกแบบ”
ระดับที่ต่างกันไปของปราสาทถูกใช้เพื่อสะท้อนถึงความซับซ้อนของเรื่องราว ดาวเบอร์แมนอธิบายว่า “เราเริ่มจากด้านนอก จากนั้นเข้าไปสู่ด้านในที่สูงขึ้น จากนั้นเข้าไปในปราสาทลึกขึ้นและเข้าสู่ด้านล่าง เราเริ่มเข้าถึงบรรยากาศจริงและเจอความสกปรกในปราสาทเหมือนในเนื้อเรื่อง”
ในโรงถ่ายถ่าย Western town ของสตูดิโอ สเปนซ์ได้ตกแต่งสิ่งก่อสร้างให้เป็น Black Bear Bar ที่เฟรนชี่ไปประจำ และพวกเขายังถ่ายทำใกล้กับป่า Snagov อีกด้วย
หลังจากวันสุดท้ายของการถ่ายทำ ฮาร์ดี้ได้เล่นเพลงที่ชื่อว่า “The Convent Blues” พร้อมกับทีมงานชาวโรมาเนียน เพื่อเป็นการขอบคุณนักแสดงและทีมงาน เพลงเล่าเรื่องราวของ “The Nun” และการถ่ายทำ มีการเล่าถึงทีมงานและนักแสดงมากเท่าที่จะทำได้ เขาบรรเลงเพลงในแบบของเขาให้สตูดิโอในวันนั้น
ตลอดช่วงการถ่ายทำยังมีการรำลึกถึงหนัง “Conjuring” ภาคอื่น เช่น รูปภาพของกลุ่มแม่ชีที่มาจากเรื่อง “Annabelle: Creation” สเปนซ์ยังมีถ้อยคำของวาแลคซ่อนไว้ในฉากด้วย “ฉันใส่รายละเอียดลงไปนิดหน่อย แต่ไม่เข้าถึงหนัง ‘The Conjuring’ มากนัก เพราะฉันรู้สึกว่านี่เป็นจุดเริ่มต้นของวาแลค แต่พวกเขาอยู่ที่นั่นกัน ฉันหวังว่าจะไม่พบเจอพวกเขาง่าย” เธอกล่าว จากมุมสูงผู้ชมจะเห็นได้ในฟอเรสต์ทรี กรอบหน้าต่างของซิสเตอร์วิคตอเรีย ป้ายทะเบียนรถบรรทุกขนของ และหลายบทความที่แขวนไว้ในคริส
จงนำพาเราจากความชั่วร้าย
สำหรับการสร้างลุคโกธิคให้ดูสมบูรณ์แบบ โคริน ฮาร์ดี้ได้นำชารอน กิลแฮม เพื่อนเก่าจาก Wimbledon School of Art มาเป็นผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย สำหรับการศึกษาข้อมูกิลแฮมได้เดินทางไปที่พิพิธภัณฑ์ Peasants และดูชุดจริงของชาวโรมาเนียนสมัยก่อน เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายส่วนใหญ่จึงผลิตขึ้นที่โรมาเนีย
สำหรับชุดของคุณพ่อบูร์ค กิลแฮมใช้รูปแบบจริงของสมัยก่อนแต่เป็นสีเข้ม “โครินอยากเน้นย้ำด้านมืดโดยธรรมชาติของคุณพ่อบูร์ค” เธอกล่าว “ชุดของเขาตอนเป็นพลเรือนเป็นผ้าสักหลาดสีเข้ม เสื้อของเขาเป็นสีเทาเข้มล้วน ตรงข้ามกับช่วงที่คนอื่นสวมชุดสีสว่างหรือเสื้อสีขาว”
และฮาร์ดี้ต้องการให้คุณพ่อบูร์คมีเครื่องประดับพิศษสำหรับฉากต่อสู้ด้วย กิลแฮมเลือกสายคาดเอวที่มีสีพิเศษ สะท้อนถึงลำดับขั้นบาทหลวงที่ต่างออกไปตั้งแต่พระราชาคณะลงมา จากนั้นได้เพิ่มข้อความลงไปเป็นถ้อยคำภาษาลาติน มีความหมายว่าพระเจ้านำแสงสว่างมาสู่เรา ซึ่งเธอเจอในภาษาลาตินจากบทสวดของชาวคาธอลิค เธอเพิ่มการประดับสายคาดเอวด้วยโลหะสีทองขนาดใหญ่จากยุค 1930 และ 40 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแท่นบูชาจากฝรั่งเศสที่กิลแฮมพบที่ตลาด “ฉันตัดมันออกมาและติดไว้ที่สายคาดเอวของเขา พร้อมลูกประคำ ไม้กางเขน และตราของเซนต์คริสโตเฟอร์ ซึ่งปกคลุมทุกอย่างไว้เหมือนเป็นสิ่งที่เขาเพิ่มเข้าไปมานานหลายปีแล้ว” เธอกล่าว
ไม้กางเขนที่อยู่รอบคอคุณพ่อบูร์คก็พบได้ในตลาดที่โรมาเนีย กิลแฮมเล่าว่า “มันเป็นของเก่าและมาจากฝรั่งเศส ซึ่งคุณพ่อบูร์คได้เจอกับเหตุการณ์ที่สร้างความหลอนให้เขา”
ส่วนเสื้อคลุมยาวสีดำของบาทหลวงผลิตขึ้นที่อิตาลี “ชุดของวาติกันดูสง่ามาก เหมือนการโอ้อวดด้วยซ้ำ” กิลแฮมกล่าว “เดเมียนชอบสวมชุดนั้นมาก เขาสวมเสื้อคลุมและเราจะเห็นเขากลายเป็นบาทหลวงไปเลย ซึ่งรวมถึงวิธียืนของเขาด้วย มีความสง่าทั้งรูปร่างและความยาวของชุด เครื่องประดับดูสวยงามและดูน่าตื่นเต้น”
ส่วนซิสเตอร์ไอรีนสวมชุดสีขาวตัดกับเครื่องแต่งกายของคุณพ่อบูร์ค ชุดแม่ชีของเธอถูกกำหนดมาแล้วว่าจะเป็นชุดแบบไหน ต่างจากแม่ชีคนอื่นๆ อย่างไร เพราะในการnuns, because within hierarchy and different periods, there are many variations to the habits. “ซิสเตอร์ไอรีนมีความบริสุทธิ์ผุดผ่อง ฉันอยากย้ำให้เห็นถึงความใสซื่อและอ่อนหวานของตัวเธอ ฉะนั้นลักษณะกระโปรงของเธอจึงมีความสำคัญมาก นิสัยของแม่ชีอาจต่างกันไปได้เพราะมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเครื่องแต่งกาย แต่ฉันอยากให้ซิสเตอร์ไอรีนมีภาพที่งดงาม” กิลแฮมเล่ารายละเอียด ดีไซน์เนอร์ได้ติดเข็มกลัดไว้ข้างหน้าด้านล่างและเข็มขัดหนังที่มีลูกประคำห้อยเอาไว้
ชุดสีขาวของฟาร์ไมก้าออกแบบเป็นพิศษเพื่อให้ดูโดดเด่นในช่วงที่หนังมีแสงเงา “ลักษณะการถ่ายทำเหมาะสมสำหรับชุดนี้มาก มันเป็นบรรยากาศที่ทำให้ชุดพวกนี้ออกมาดูดี ฉันรักช่วงที่เห็นผ้าคลุมหัวโผล่จากความมืดหรือช่วงที่ชุดสว่างขึ้นมา” กิลแฮมกล่าว
ไอเดียของชุดคือต้องปกคลุมตั้งแต่หัวจรดเท้า ตัดขาดตัวเองออกจากโลก ส่วนผ้าคลุมหัวจะปกปิดช่วงใบหน้าเอาไว้ กิลแฮมใช้ผ้าเนื้อหยาบด้านในผ้าคลุมผมของชุดแม่ชี และผูกตรงมุมเอาไว้ให้แน่นจนมีลักษณะเหมือนฮู้ด “ดูคล้ายกับม้าที่ถูกปิดตา พวกเธอต้องหมุนทั้งตัวเพื่อหันศีรษะ นักแสดงทุกคนที่สวมผ้านั้นพร้อมกับเครื่องแต่งกายทั้งหมด ต่างพูดกันว่ารู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่อีกยุคหนึ่งเลย” กิลแฮมกล่าว
ชุดสำหรับผีแม่ชีจาก “Conjuring 2” ถูกส่งมาที่บูชาเรสต์ โดยกิลแฮมสร้างขึ้นมาใหม่ด้วยวัสดุเดียวกันกับแม่ชีคนอื่นๆ ซึ่งเธอเรียกว่า “อารมณ์ยุค 1950” กิลแฮมเล่าว่า “ชุดของผีแม่ชีทำให้เธอดูยืดยาวขึ้น เพราะผ้าคลุมสีดำจะลากยาวลงมา ส่วนเครื่องแต่งกายส่วนอื่นจะยาวและดูมืดมาก เราจะรู้สึกประทับใจเธอสุดชีวิต ครั้งแรกที่ฉันเจอบอนนี่อยู่ในเครื่องแต่งกายเต็มชุดและต้องถ่ายภาพเธอ ฉันรู้สึกกลัวมาก”
อีเลียนอร์ ซาบาดูเคีย หัวหน้าฝ่ายเมคอัพได้ควบคุมเรื่องหน้าตาของแม่ชี ซึ่งสร้างเอาไว้ใน “The Conjuring 2” ของเจมส์ วาน แต่ละครั้งที่เธอแต่งหน้าแม่ชีจะมีรายละเอียดต่างกันนิดหน่อย เพราะมีการตกแต่งด้วยมือ ใช้พลาสติกน้อยที่สุดและไม่อาศัยดิจิตอลเลย
Amalgamated Dynamics, Inc. (ADI) ได้ผลิตเอ็ฟเฟ็กต์ตัวละคร/สิ่งมีชีวิต ฮาร์ดี้เล่าให้ฟัง่า “มันเหมือนฝันที่ได้ร่วมงานกับพวกเขา ถือเป็นเกียรติมากตั้งแต่ที่ผมเคยสร้างหนัง Super 8 กับเพื่อนๆ และผลิตสิ่งมีชีวิตและสัตว์ประหลาดขึ้นมาในโรงรถของพ่อแม่”
ฮาร์ดี้เลือกผู้ประพันธ์ดนตรี อาเบล คอร์เซนิวสกี้ มาสร้างความโดดเด่นให้ดนตรีในหนังทั้งเรื่อง ซึ่งคอร์เซนิวสกี้เล่าว่า “มีการถ่ายทอดความสยองเกี่ยวกับเรื่องศาสนาออกมา 2 ด้าน คือความรุนแรงโหดเหี้ยมและความศรัทธาอย่างไม่เห็นแก่ตัว ในอดีตคือจากผีแม่ชีวาแลคและต่อมาคือซิสเตอร์ไอรีน ซึ่งแต่ละคนจะมีธีมของตัวเอง ล้วนย้อนไปในบรรยากาศโบสถ์สมัยก่อนและพิธีกรรมนอกศาสนา ผ้าคลุมสีเข้ม เนื้อผ้าที่หยาบ โทนสีที่เปลี่ยนแปลงได้ ตามจินตนาการของโครินผมได้แปลงจักรวาลของ ‘Conjuring’ ให้เป็นยุคสมัยก่อน ฉากใช้สีข้ม มีพลังจากวงดนตรีด้วยกลองที่สูง 7 ฟุตและนักร้องที่มีเสียงในลำคออย่างรุนแรง”
ฮาร์ดี้กล่าวสรุปว่า “รู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้เห็นองค์ประกอบทั้งหมดรวมเข้าด้วยกัน และเพลงประกอบชวนหลอนจากอาเบลสร้างความประทับใจอย่างสมบูรณ์แบบ ผมคิดว่าในโลกโกธิคใบนี้ที่เราสร้างขึ้นมาดูน่ากัวมาก ซึ่งเราและแม่ชีรอผู้ชมทุกคนก้าวเข้ามา แค่เตรียมพร้อมส่งเสียงกรี๊ดก็พอ”